ไทม์ไลน์แห่งเหลี่ยมเพชร
เพชรเป็นอัญมณีที่เก่าแก่ที่มีประวัติการนำมาใช้สอยอย่างยาวนาน ลักษณะก้อนเพชรหรือผลึกเพชรที่สมบูรณ์นั้นรูปร่างคล้ายกระสวยที่มีแปดเหลี่ยม เหมือนกับปิรามิดสองอันประกบกัน (Octahedral) ยิ่งกว่านั้นยังเป็นรัตนชาติที่มีความแข็งสูงที่สุด เพชรถูกพบครั้งแรกในอินเดีย มีหลักฐานการใช้เพชรมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 เหมืองเก่าแก่ที่สุดคือ "โกลคอนด้า" ซึ่งเป็นแหล่งเพชรเพียงแหล่งเดียวในยุคสมัยนั้น ต่อมาในยุคกลางพ่อค้าชาวยุโรปได้นำเพชรจากอินเดียเข้าสู่ยูโรป ทำให้เพชรเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวตะวันตก นับแต่โบราณมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 นั้นในอินเดียยังมีความเชื่อกันว่าเพชรเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่นำมาใช้สำหรับประดับเทวสถานและเทวรูปเท่านั้น โดยนำเพชรมาใช้ตามลักษณะธรรมชาติ อาจขัดเงาบ้างเพื่อให้สะท้อนแสง รูปร่างจึงเป็นทรงยอดแหลมคล้ายยอดปิรามิด (Poit Cut) แม้ว่าชาวยุโรปจะนำไปดัดแปลงวิธีขัดเงาและเพิ่มเหลี่ยมให้พิศดารแตกต่างออกไปบ้าง แต่เพชรก็ยังคงไว้ซึ่งรูปทรงของธรรมชาติ
ภาพ#1
(ภาพด้านบนแสดงการเปรียบเทียบเพชรยอดเจดีย์ชเวดากองกับผลึกเพชรธรรมชาติ)
ถัดต่อมาในศตวรรษที่ 15 มีการเรียนรู้ในการใช้ผงเพชรในการขัดเงาเพชร ทำให้สามารถเจียรนัยเพชรให้มีผิวเรียบและเป็นเงาสะท้อนแสงได้ดี นิยมขัดหน้าเพชรให้แบนราบมีผิวเรียบคล้ายกระจกเงาเพื่อเน้นการสะท้อนแสงเป็นหลัก บริเวณขอบเพชรอาจมีเหลี่ยมขั้นบันได (Step Cut) เพียงเล็กน้อย เป็นรูปแบบเรียบง่ายไม่ค่อยมีมิติ รูปทรงอย่างนี้เรียกกันว่า "Image Cut" หรือทรงเหลี่ยมบานกระจก
ภาพ#2

(ภาพด้านบนคือเพชรดาริยาอินูร์แห่งราชวงศ์อิหร่านที่มีรูปทรงแบนราบ)
มาถึงศตวรรษที่ 16 เริ่มรู้จักกรรมวิธีการตัดเพชรให้แยกออกจากกัน ก้อนเพชรถูกแยกออกเป็นสองส่วนจากฐานตรงกลาง แต่ละส่วนถูกนำไปเจียรนัยเป็นทรงโดม บนหลังโดมนั้นมีเหลี่ยมตาราง ส่วนฐานนั้นแบนราบ เราเรียกว่า "Rose Cut"
ภาพ#3

(ภาพด้านบนเป็นแบบจำลองของ"เพชรโมกุล"ซึ่งมีลักษณะของ Rose Cut Diamond)
รูปแบบการเจียรนัยของศตวรรษที่ 15-16 นั้นถูกเหมาจัดให้อยู่ในนิยามของกลุ่ม"Rose Cut" ทั้งสิ้น เพราะเพชรมีลักษณะราบแบนอยู่ด้านหนึ่ง เรียกตามภาษาไทยว่า "เพชรซีก" (ดังนั้นแล้ว Image Cut ก็จัดเป็นชนิดย่อยของ Rose Cut นะครับ)
กลางศตวรรษที่ 17 เริ่มมีการนำเพชรทั้งก้อนมาเจียรนัยโดยไม่หั่นแบ่งครึ่ง รูปทรงเพชรจึงสอดคล้องกับก้อนผลึกที่ได้มาจากเหมือง โดยการตัดเพียงยอดแหลมด้านหน้าออกไป ลบมุมแหลมที่ฐานทั้งสี่ (ให้โค้งมน) แล้วเจียรนัยเหลี่ยมทั้งด้านหน้าและด้านก้นเพชร ถือเป็นกำเนิดเพชรลูกขึ้นครั้งแรก (เพชรที่ไม่มีซีกแบน หรือฐานที่แบน) เพชรเหลี่ยมใหม่นี้มีสัณฐานใกล้เคียงก้อนเพชรจากเหมืองถูกตั้งชื่อว่า "Old Mine Cut Diamond"
ภาพ#4

ภาพด้านบน (#4) แสดงรูปทรงการเจียรนัย"Old Mine Cut Diamond" ซึ่งเป็นการปฏิรูปจากการเจียรนัยเพชรเพียงหน้าเดียว (เพชรซีก) มาเป็นการเจียรนัยสองหน้า (เพชรลูก) เป็นครั้งแรก พึงสังเกตว่าเหลี่ยมของเพชรเริ่มมีลักษณะเป็นแฉกรัศมีออกจากศูนย์กลาง (Brilliant Cut/เหลี่ยมเกสร)
หลังจากนั้นไม่นาน"Old Mine Cut Diamond" ที่มีรูปหน้าสี่เหลี่ยมมนคล้ายหมอน ก็ถูกดัดแปลงให้เป็นทรงกลมในที่สุด แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า "Old European Cut" กล่าวคือรูปทรงทั้งสองแบบถือกำเนิดในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน รูปทรงทั้งสองแตกต่างกันตรงที่อันหนึ่งมีหน้าเพชรเป็นสี่เหลี่ยมมน ส่วนอีกอันหนึ่งมีหน้าทรงกลม นอกนั้นก็ละม้ายกันเกือบหมด ซึ่งก็รวมไปถึงเหลี่ยมที่ก้นเพชร (เหลียมที่ดูคล้ายปลายแหลมถูกเฉือนทิ้ง หรือที่คนไทยเรียก"เพชรก้นตัด")
ภาพ#5

(ภาพด้านบน#5 แสดงการเปรียบเทียบระหว่าง"Old Mine Cut Diamond" (ซ้าย) กับ "Old European Cut" (ขวา )
เวลาต่อมาในปี 1900 ก็ได้กำเนิดเพชรทรง "Modern Round Brilliant Cut" ขึ้นมาโดยการใช้ "Old Mine Cut Diamond" เป็นต้นแบบ โดยการปรับระดับหน้าเพชรที่ยกสูงให้ลดต่ำลง พร้อมกับปรับก้นเพชรให้ตื้นขึ้นมา จึงมีผลให้เหลี่ยมหน้าเพชรแคบลง(ผอมบางลง) และไม่เจียรนัยเหลี่ยมตัดที่ปลายก้นเพชร (ดูภาพเปรียบเทียบด้านล่าง/Credit Bitani.com)
นับตั้งแต่กำเนิด "Modern Round Brilliant Cut" ขึ้นมา เราก็ได้ยึดถือใช้ "Modern Round Brilliant Cut" เป็นแบบมาตรฐานในการเจียรนัยเพชรอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน Tolkosky เป็นบุุคคลผู้วางพื้นฐานใช้สูตรคณิตศาสตร์มาคำนวณมุมองศาเหลี่ยมเพชร พื้นฐานตรงนี้ถูกนำไปต่อยอดผนวกกับองค์ความรู้ทางทฤษฎีแสง จนปัจจุบันนี้เราสามารถใช้โปรแกรมคอมมาช่วยในการออกแบบเหลี่ยมเพชร "Modern Round Brilliant Cut" ถูกปรับประยุกต์แยกย่อยไปเป็นแบบต่างๆมากมาย ไม่ว่าเหลี่ยม Hearth and Arrow Cut หรือ Bangkok Cut ก็ตาม ล้วนอิงบนพื้นฐานของ "Modern Round Brilliant Cut" ทั้งสิ้น และต่างก็ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วยในการออกแบบและเจียรนัย
นั่นคือเรื่องราวของก้อนแร่เพชรรูปทรงปิรามิดประกบกัน (Octahedral) ที่ได้ผ่านเส้นทางแห่งกาลเวลายาวมานานถึง 16 ศตวรรษ ผ่านการขัดเกลาเจียรนัยโดยช่างฝีมือในแต่ละยุคสมัย ผ่านรูปทรงหลากหลาย จนในที่สุดก็ตกผลึกกลายเป็นรูปแบบ "Brilliant Cut" อย่างสมบูรณ์แบบในปัจจุบัน อันเป็นทรงเหลี่ยมเจียรนัยที่ทำให้เพชรเปล่งประกายแห่งความงามได้ดีที่สุด
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์
9 พฤษภาคม 2020