อัศจรรย์แห่งเปลวเพลิงกับอัญมณี
การปะทุระเบิดของภูเขาไฟทำให้หินหนืดใต้พื้นพิภพ (Magma) แทรกตัวขึ้นมาตามรอยแยกหินและปล่องภูเขาไฟ หินหนืดได้นำพาเอาแร่ธาตุต่างๆและอัญมณีขึ้นสู่พื้นผิวโลก นอกจากนี้ ณ.บริเวณความกดดันและอุณหภูมิสุงใต้เปลือกโลก เมื่อหินหนืดเคลื่อนตัวผ่านเข้ามาสัมผัสกับผลึกแร่ธาตุและผลึกอัญมณีที่อยู่บนเส้นทาง ย่อมมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับอะตอมของอัญมณีเหล่านี้ โดยเฉพาะการกระจายตัวของอะตอมในธาตุผ่าน (Trace element) ที่มีอยู่แล้วในผลึกพลอย ดังนั้นหากแร่รัตนชาติใต้พื้นดินได้สัมผัสกับความร้อนและแรงกดดันสูงเป็นระยะเวลายาวนานอย่างเหมาะสมก็จะมีพัฒนาการของสีสันที่กระจายตัวสม่ำเสมอ และได้ผลึกที่ใสสะอาด หากแต่ขบวนการธรรมชาติหรือที่เรียกว่า ”ขบวนการทางธรณีวิทยา”ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เราไม่อาจควบคุมได้เลย ดังนั้นแร่พลอยที่เกิดจากการกระทำทางธรณีวิทยาจึงมีลักษณะไม่สม่ำเสมอทั้งสีสัน โทนสี และความใสสะอาดก็ไม่เหมือนกัน ลองสังเกตครับว่าแร่พลอยที่เราขุดจากแหล่ง (เหมือง)เดียวกัน คุณภาพก็แตกต่างคละเคล้ากันไป บ้างใสสะอาด บ้างก็ขุ่นทึบ บ้างก็มีสีเสมอกันทั่วทั้งเม็ด บ้างก็สีเข้ม บ้างก็สีอ่อน หรือว่าปราศจากสีไปเลย ที่เป็นเช่นนี้ขึ้นกับปัจจัยหรือตัวแปรอยู่สองประการ ปัจจัยแรกคือตัวแปรภายในผลึก กล่าวคือผลึกพลอยนั้นจะต้องมีธาตุผ่านให้สีอยู่ภายใน อยู่แล้ว( Chromophoric trace element) ที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า “เชื้อสี” ร่วมกับปัจจัยภายนอกคือสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสุงและระยะเวลาที่ยาวนานเหมาะสม พัฒนาการของสีและความบริสุทธิ์ของผลึกนั้นก็เกิดขึ้นและสมบูรณ์ ขบวนการทางธรณีวิทยาอาจกินเวลานานนับล้านๆปี
ทฤษฎี “ขบวนการทางธรณีวิทยา” ได้รับการยืนยันด้วยความบังเอิญ ขอย้ำว่า ”บังเอิญ”นะครับ ย้อนไปปีพ.ศ.2511 ได้เกิดอัคคีภัยครั้งรุนแรงในตลาดเมืองจันทรบุรี เพลิงได้เผาทำลายสิ่งปลูกสร้างจนราบคาบ รวมไปถึงร้านค้าพลอยและร้านค้าจิวเวลรี่ก็พลอยถูกเผาไหม้ไปหมดสิ้น อุณหภูมิ ณ.ใจกลางอัคคีภัยระดับรุนแรงนั้นมักสุงเกินกว่า 600 oc ขึ้นไป เพลิงไหม้ยิ่งกินระยะเวลานานมากขึ้นเท่าไรความร้อนก็ยิ่งทวีสุงเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าความร้อนระดับนี้แม้ทองคำยังหลอมละลาย แม้แต่เพชรที่ว่าแข็งแกร่งก็ยังทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน หลังจากเพลิงสงบลง ผู้คนก็เริ่มเข้าไปสำรวจซากสลักหักพังเพื่อคุ้ยหาสิ่งของที่อาจหลงเหลือ แล้วก็ได้พบสิ่งน่าประหลาดใจ หรือกล่าวได้ว่าอัศจรรย์ใจก็ได้ นั่นก็คือบังเอิญไปพบพลอยเนื้อแข็งตระกูล Corundum มีทั้งหล่นกระจายปนอยู่ในกองขี้เถ้าและบ้างก็พบอยู่ในตู้เซฟที่ถูกไฟเผา พลอยเนื้อแข็งเหล่านั้นยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากการสังเกตุสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือคุณสมบัติพลอยที่เคยขุ่นมัวมาแต่เดิมกลับมีสีสม่ำเสมอดีขึ้นกว่าเดิม ตำหนิจุดดำๆด่างๆในพลอยก็อันตรธานไปด้วย ทำให้พลอยนั้นใสสะอาด ชาวบ้านก็เลยสรุปว่าความร้อนจากอัคคีภัยได้ช่วยให้การกระจายของสีในพลอยดีขึ้น และทำให้ตำหนิต่างๆในพลอยสลายไปอันส่งผลให้พลอยโปร่งใสมากยิ่งขึ้น นั่นคือการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่และเป็นจุดเริ่มต้นของภูมิปัญญาไทยในการปรับปรุงคุณภาพพลอยเนื้อแข็งด้วยความร้อน หลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมาชาวบ้านก็ได้ทำการทดลองคิดค้นต่อยอดแนวคิดดังกล่าวด้วยการลองผิดลองถูกจนกระทั้งได้สูตรที่ลงตัวคงที่ในการใช้ความร้อนปรับปรุงพลอย พลอยที่ชาวจันทรบุรีนำมาปรับคุณภาพผ่านความร้อนจะใช้เฉพาะพลอยเนื้อแข็งตระกูล Corundum (ความแข็งระดับ 9 ) เพราะแร่ Corundum นี้มีคุณสมบัติทนความร้อนได้สุงมากถึง 2,044 oc (สุงกว่าอัญมณีธรรมชาติทุกชนิด) ขบวนการปรับคุณภาพจะใช้ความร้อนอยู่ระหว่าง 800o - 1,700oc ซึ่งยังห่างจากจุดหลอมละลายของแร่ Corundum อยู่มากพอสมควร จึ่งมั่นใจว่าไม่ก่อความเสียหายให้กับเม็ดพลอยอย่างแน่นอน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่แตกต่างจากพลอยธรรมชาติที่ผ่านขบวนการทางธรณีวิทยา คือมีความสวยงาม คงทนถาวรไม่เปลี่ยนแปลง เราไม่อาจแยกแยะด้วยสายตาได้เลยว่าพลอยนั้นผ่านการปรับปรุงด้วยความร้อนมาหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพลอยเม็ดนั้นใสสะอาดปราศจากตำหนิด้วยแล้ว ก็จะไม่พบข้อบ่งบอกใดๆทั้งสิ้น กล่าวสรูปพลอยที่ผ่านความร้อนและพลอยธรรมชาตินั้นเหมือนกันทุกประการ
เตาน้ำมันแบบดั้งเดิม และเตาไฟฟ้าแบบควบคุมโดยคอมพิวเตอร์
(Credit: krubannok.com)
อนึ่งใช่ว่าพลอยทุกเม็ดจะให้การตอบสนองต่อความร้อน และให้สีพลอยที่สวยงามตามที่เราต้องการเสมอไป มันก็เหมือนกับพลอยที่เกิดจากขบวนการธรรมชาตินั่นแหละ ที่ขึ้นกับว่าผลึกพลอยนั้นๆมีเชื้อสีอยู่ภายในหรือไม่ (Chromophoric element) ถ้าหากว่าไม่มีเชื้อสีอยู่เลยการเพิ่มความร้อนให้แก่พลอยก็ไม่ให้ผลใดๆ ดังนั้นพลอยจะมีสีเข้ม มีสีอ่อน หรือว่าไร้สีก็ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของธาตุผ่านที่มีอยู่แล้วภายในเม็ดพลอย ธาตุผ่านจึงเป็นตัวกำหนด ไม่มีอะไรที่ฝืนธรรมชาติ มันเหมือนกับขบวนการทาธรณีวิทยาทุกประการ
เตาที่เราใช้อบหรือเพิ่มความร้อนให้กับพลอย (Furnace) นั้นเปรียบได้กับ “ไทม์แมชชีน” (Time machine) ที่มหัศจรรย์สามารถย่นระยะเวลาขบวนการทางธรรมชาติให้สั้นลง กล่าวคือสามารถย่อเวลาของขบวนการทางธรณีวิทยาที่กินเวลานานนับหลายๆล้านปีที่อัญมณีจะมีพัฒนาการถึงความสมบูรณ์ที่สุดให้สั้นกระชับลงมาอยู่ในความควบคุมของมนุษย์นั่นเอง ลองจินตนาการดูเถิดว่าแค่เรารอให้ภูเขาไฟประทุพ่นลาวาออกมา หรือรอให้หินหนืดแทรกตัวขึ้นมาตามชั้นหินและสัมผัสกับอัญมณี ในช่วงชีวิตเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นปรากฎการณ์นี้สักครั้งก็ได้ ขบวนการปรับคุณภาพโดยฝีมือมนุษย์และขบวนการทางธรณีนั้นมีลักษณะร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือทั้งสองขบวนการต่างก็มีความร้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าอัญมณีจะผ่านขบวนการอย่างไหน ผลที่ได้มีค่าเท่ากัน คือสีและคุณลักษณะของอัญมณีที่ได้นั้นมีความคงทนถาวรไปตลอดกาล เป็นความงามยั่งยืนข้ามกาลเวลา เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ต่อนี้ไปก็อย่าได้ตั้งแง่รังเกียจพลอยที่ปรับคุณภาพด้วยความร้อน (Enhancement in heating atmosphere) อีกเลยครับ เพราะว่า พลอยที่เราพบในธรรมชาติเมื่ออดีตกาลมันก็ได้ผ่านขบวนการเกี่ยวข้องกับความร้อนมาอยู่แล้วครับ และภูมิปัญญาการปรับคุณภาพก็คือการเลียนแบบธรรมชาตินั่นเอง
คราวต่อไปผมคงมีโอกาสได้พูดถึงรายละเอียดขบวนการปรับคุณภาพด้วยความร้อน และทำความรู้จักว่าแบ่งเป็นกี่ลักษณะ และมีวิธีอย่างไรบ้าง แล้วคอยติดตามนะครับ
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์ (FGA)
คลีนิกอัญมณี
"คลีนิกอัญมณี" เป็นคอลั่มน์รวมบทความต่างๆทางอัญมณีศาตร์ ทั้งที่เกี่ยวกับแวดวงการค้าอัญมณี และในเชิงวิชาการของการตรวจวิเคราะห์พลอยประเภทต่างๆในห้องแลบ ยังรวมไปถึงเรื่องราวอัญมณีที่อยู่ในกระแสความสนใจซึ่งอาจมาจากคำถามที่พบบ่อยเป็นต้น บทความที่ผมเขียนขึ้นจะถูกรวบรวมไว้ในที่นี้ ท่านสามารถติดตามบทความใหม่ของเราที่จะนำเสนอเป็นระยะๆ รวมถึ่งการอ่านเรื่องย้อนหลังได่อีกด้วย
วัฒน์
(หมอพลอย)
หน้าที่เข้าชม | 368,250 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 271,001 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ก.พ. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 20 ส.ค. 2568 |
ติดต่อสอบถาม
โทรศัพท์: 081-8102763
LINE ID: siriwat28
siriwat.jiamanusorn@gmail
Fanpage: @jwlab.gem