"ทับทิมม่องซู"
ฤๅอัญมณีธรรมชาติสร้างไม่เสร็จ
ในปัจจุบันประเทศเมียนมาร์มีแหล่งพลอยทับทิมอยู่สองแหล่งด้วยกัน คือแหล่งโมกกอยู่ทา่งตอนเหนือของเมืองมัณฑะเลย์เป็นเหมืองทับทิมเก่าแก่ และแหล่งม่องซูตั้งอยู่บนที่ราบรัฐฉานที่ถูกค้นพบในปี 1992 "ม่องซู" นับเป็นแหล่งทับทิมที่สำคัญแหล่งที่สองของเมียนมาร์ที่ผลิตทับทิมออกสู่ตลาดโลก ทราบกันดีว่าทับทิมจากเมียนมาร์นั้นกำเนิดในชั้นหินแปร (หินอ่อน) ดังนั้นหย่อมสี (Color Zoning) ลักษณะต่างๆมักเกิดควบคู่กับทับทิมเมียนมาร์อย่างเลี่ยงมิได้ ไม่ว่าลักษณะแบบกิมบ่เซี่ยง (หย่อมขาว-แดง) แบบคลื่นความร้อนคล้ายน้ำเชื่อม (Treacle) และหย่อมสีลักษณะพิเศษของทับทิมม่องซู ที่แกนกลางผลึกมีสีน้ำเงิน (Ruby with blue core) ผลึกทับทิมม่องซูมีสีแดงแบบทับทิมปรกติแต่ทว่าตรงใจกลางมีหย่อมสีน้ำเงิน หรือน้ำเงินอมดำปรากฎอยู่ หย่อมสีเหล่านี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติในขณะที่ผลึกพลอยกำลังก่อตัว การกระจายของธาตุสี (Chromophore) ไม่ทั่วกัน หรืออาจกระจุกตัวในบริเวณหนึ่ง อันเนื่องจากเงื่อนไขทางธรณีวิทยาบางประการ หลักๆก็คือปัจจัยจากอุณหภูมิ และความกดดัน ชาวเมียนมาร์เชื่อกันว่าพลอยที่มีหย่อมสีเหล่านี้เป็นพลอยที่ยังไม่ได้อายุ เปรียบเสมือนผลไม้ที่ยังไม่สุกเต็มที่ คล้ายกับเมล็ดผลทับทิมที่ยังอ่อน สีแดงสุกไม่ทั่วถึงกัน หย่อมสีในทับทิมม่องซูเป็นลักษณะหกเหลี่ยมพ้องไปกับรูปทรงผลึกตามธรรมชาติ

ในประเทศไทยเราได้พบกรรมวิธีในการปรับสีพลอยให้มีความสม่ำเสมอ ด้วยหลักการเลียนแบบขบวนการธรรมชาติทางธรณีวิทยา ด้วยการใช้ความร้อนช่วยในการอบ สามารถปรับเร่งให้ธาตุสีในพลอยกระจายตัว สามารถเพิ่มหรือลดบทบาทของธาตุผ่าน ปรับสีให้ได้เกณฑ์ที่ต้องการ ยิ่งกว่านั้นผลลัพธ์ที่ได้ยังอยู่อย่างถาวร การปรับคุณภาพสีอัญมณีผ่านความร้อนเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยมาช้านาน ทับทิมจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแหล่งม่องซูจึงถูกส่งมาปรับคุณภาพสีในประเทศไทย
ถ้าพิจารณาดูผลึกทับทิมธรรมชาติจากแหล่งม่องซู (ตัวอย่างในภาพด้านล่าง) ลักษณะทางกายภาพที่ประกอบไปด้วอยหย่อมสีน้ำเงินคล้ำอยู่แกนกลางผลึก พลอยอย่างนี้คงไม่ค่อยมีมูลค่าในเชิงพาณีชย์สักเท่าไร (ยิ่งกว่านั้นพลอยส่วนมากยังมีรอยปริร้าว) ดังนั้นการแก้ไขด้วยกรรมวิธีภูมิปัญญาไทยสามารถทำให้พลอยที่มีตำหนิเหล่านี้สวยงามขึ้นและเพิ่มมูลค่าขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง ทับทิมม่องซูที่ได้ผ่านกรรมวิธีอย่างสมบูรณ์ดูแล้วไม่แตกต่างไปจากทับทิมโมกกแต่อย่างใด
ในระยะแรกที่่วัตถุดิบจากแหล่งม่องซู (คนไทยเรียกว่า "ทับทิมบ่อซู่") เริ่มเข้ามาในเมืองไทยนั้น ยังไม่ค่อยมีพ่อค้าคนไทยกล้ารับซื้อพลอยเหล่านี้ เนื่องจากยังไม่คุ้นเคยกับทับทิมที่มีแกนกลางสีน้ำเงิน แต่หลังจากมีผู้ทดลองนำไปปรับด้วยความร้อนแล้วประสบความสำเร็จ ทำให้หย่อมสีดังกล่าวหายไป วัตถุดิบจากหม่องซูจึงเริ่มเป็นที่ยอมรับในวงการอุตหกรรมอัญมณีไทย
สีน้ำเงินในแกนกลางทับทิมม่องซูนั้นเกิดจากธาตุ Ti (ไทแทเน่ี่ยม) ในฐานะธาตุผ่านที่เกิดร่วมอยู่ในผลึกแร่คอรันดัม แต่ด้วยเหตุปัจจัยทางธรณีบางประการ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าความผิดปรกติในธรรมชาติ ทำให้ธาตุ Ti ไม่กระจายตัวออกไป จึงเกิดหย่อมสีน้ำเงินคล้ำตรงใจกลางทับทิม การกำจัดสีน้ำเงินออกไปสามารถทำโดยการอบความร้อนที่ 800-1200 องศาเซลเซียสในภาวะบรรยากาศ (Oxidizing Atmosphere) ที่ทำให้อะตอมของ Ti เปลี่ยนหรือเคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิม หมายถึงการไปกดสีน้ำเงินไว้ไม่ให้แสดงออกมานั้นเอง พลันผมก็หวนนึกไปถึงห้องปฏิบัติการเผาพลอยที่เราใช้หลักการจำลองเงื่อนไขทางธรณีวิทยา กรรมวิธีในขบวนการต้องเคร่งครัดกับการควบคุมระดับอุณหภูมิและระยะเวลาที่เหมาะสม เช่นต้องใช้ความร้อนในระดับใดอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 4 สัปดาห์ หากขั้นตอนถูกขัดจังหวะไว้เพียงครึ่งอายุ (2 สัปดาห์) พัฒนาการของสีก็ไม่สมบูรณ์ เกิดหย่อมสีที่ไม่กระจายตัว (ตัวอย่างภาพด้านล่าง)

ภาพบนก้อนพลอยบุษราคัมไทย (Yellow Sapphire) ที่มีแกนกลางสีน้ำเงินอมเขียวจากขบวนการปรับคุณภาพสีด้วยความร้อน (โดยมี Be เป็นตัวเร่งปฏิกริยา) ที่ยังไม่เสร็จสินสมบูรณ์ ถ้าดำเนินขบวนการต่อเนื่องไปอีก หย่อมสีเหล่านี้ก็จะหายไปในที่สุด เนื่องจากอะตอมของ Ti จะเคลื่อนตำแหน่งไปจากเดิม ทำให้สีน้ำเงินลดบทบาทลงไป
ปัจจัยที่กำหนดให้ขบวนการเสร็จสมบูรณ์ได้แก่ High Pressure, High Temperature และ Timing ทั้งสามปัจจัยต้องครบถ้วนจึงจะทำให้พัฒนาการของสีสมบูรณ์แบบ ถ้าหากมีการชะงักงันเกิดขึ้น ไม่ว่ากับขบวนการแบบธรรมชาติหรือแบบจำลองที่มนุษย์กำหนดขึ้น ผลลัพธ์ก็ไม่แตกต่างกันหรอกครับ
การเร่งสีพลอยในแซฟไฟร์ซีลอน (Geuda, Orun, Ottu) การกำจัดหย่อมสีในพลอยเมียนมาร์ (Color Zoning) การปรับปรุงโทนสีในพลอยแอฟริกา (Shade/Overtone) กระทั่งการเปลี่ยนตำแหน่งสีในแซฟไฟร์บางกะจะ (Hue Position) จากศักยภาพเชื้อสีที่มีในก้อนพลอย ล้วนต้องอาศัยหลักการ High Pressure, High Temperature และ Timing ส่วนทักษะนั้นได้จากประสบการณ์ในการลงมือปฏิบัติ ซึ่งเป็นทั้งศาสตร์และศีลป์ เป็นสมบัติทางภูมิปัญญา น่าภูมิใจครับที่กรุงเทพและจันทบุรีคือศูนย์กลางของผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาคุณภาพอัญมณีแบบครบวงจรที่ทั่วโลกให้การยอมรับ
12 กรกฎาคม 2019
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์ (FGA)