"หยก" อัญมณีแห่งสวรรค์
"หยก" เป็นแร่รัตนชาติที่นิยมใช้ทำเครื่องตกแต่งและเครื่องประดับกันอย่างแพร่หลายในเอเซียตะวันออกไกลมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน การขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศจีนได้พบเครื่องใช้ทำด้วยหยกจำนวนมากที่มีอายุเก่าแก่นับพันปี เป็นอัญมณีที่มีประวัติการใช้สอยมาอย่างยาวนานควบคู่กับอารยะธรรมจีน
หนังสือตำราเกี่ยวกับหยกมีมากมายให้ศึกษา ทั้งแนวประวัติศาตร์ โบราณคดี ตำนานความเชื่อ งานศีลปะแกะสลัก งานออกแบบเครื่องประดับ และอัญมณีศาสตร์ สำหรับผู้ที่รักการอ่าน หนังสือเกี่ยวกับหยกหาได้ง่ายและตีพิมพ์ในหลากหลายภาษา ทัศนะผมในฐานะนักอัญมณีศาสตร์ ผู้ที่จะสะสมหยกหรือต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับพลอยนี้ในทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักสะสมสมัครเล่น หรือริเริ่มทำธุรกิจค้าหยก ผมแนะนำว่าท่านต้องเป็นผู้รักการอ่านและใฝ่ศึกษานะครับ สำหรับผู้ที่ไม่รักการอ่านเอาเสียเลย ประมาณว่าไม่ชอบอ่านหนังสือเกินกว่ากับห้าบรรทัดต่อวันแล้วละก้อ ท่านก็ไม่เหมาะกับหยกนะครับ ผู้สนใจเรียนรู้เรื่องหยกท่านไม่จำเป็นต้องไปท่องจำคำนิยามทางเคมี ฟิสิคให้วุ่นวาย ขอแค่เพียงอย่างน้อยอ่านผลวิเคราะห์ทางแล็บได้เข้าใจ อ่านตำราแล้วจับประเด็นแนวคิดให้ได้ และเป็นคนช่างสังเกตุ แค่นี้ก็เพียงพอที่ทำให้ไม่หลงหรือสับสนไปกับ พลอยลักษณะคล้ายคลึง (มีทั้งชนิดธรรมชาติและที่มนุษย์ทำขึ้นมา) อีกทั้งเทคนิควิธีการปรับปรุงคุณภาพที่แพร่หลาย มีทั้งการฟอกสี การใส่สารเติมเต็ม การย้อมสี รวมถึงพลอยปะ พลอยประกบ (Doublet) ที่ทำได้อย่างแนบเนียน
โครงสร้างแร่หยก : หยกกำเนิดอยู่ในชั้นหินแปร ลักษณะเป็นผลึกเดี่ยวขนาดเล็กๆ (Microcrystaline) จำนวนมากมารวมตัวและผสานกันจนเป็นกลุ่มก้อน เราเรียกว่า"ผลึกกลุ่ม" (Agregated Crystals) หยกหนึ่งก้อนก็คือผลึกกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกัน ความที่พวกมันยึดตัวกันอย่างหนาแน่นทำให้เรามองไม่เห็นผลึกขนาดเล็กด้วยตาเปล่า แต่ถ้าส่องขยายด้วยกล้องจุลทรรศ์เราจะเห็นผลึกขนาดเล็กแยกจากกันครับ การผสานตัวกัน (Interlocking Pattern) ของผลึกขนาดเล็กทำให้หยกมีโครงสร้างที่แข็งแรงทนทานต่อแรงกระแทก เป็นพลอยที่บึกบึนทนต่อการใช้งาน
ประเภทหยก : การรู้จักประเภทของหยกที่มีเพียงสองชนิด และสามารถแยกแยะชนิดทั้งสองออกจากกันได้ในเบื้องต้น จะเป็นจุดเริ่มต้นหรือพื้นฐานที่ช่วยให้เราเข้าสู่องค์แห่งความรู้เกี่ยวกับหยกได้ง่าย เสมือนบันไดขั้นแรก หรือว่า "หญ้าปากคอก"
หยกเนฟไฟร์ท (Calcium Magnesium Silicate with Hydroxyle) เราเรียกกันว่า"หยกจีน" หรือ "หยกเหนียว" แม้ว่าเป็นผลึกกลุ่มที่รวมตัวกัน แต่ทว่าถูกแรงกดทับทางธรณีจนกลายสภาพโครงสร้างคล้ายใยเหนียวแน่น ความหนาแน่นของเนื้อหยกทำให้ไม่ว่าสารเคมี หรือว่าสีย้อมไม่สามารถซึมผ่านโครงสร้างเข้าไป จึงปลอดจากปัญหาการฟอก การเติมสารฟิลเลอร์และการย้อมสีใดๆ กล่าวคือตัดความกังวลเรื่อง "Treatment" ออกไปได้ หยกเนฟไฟร์ทความแข็งที่ 6.5 ค่าการหักเหแสงที่ 1.62 8 ความวาวแบบขี้ผึ้ง (Waxy) ลักษณะทึบแสงถึงโปร่งแสง หยกมีชนิดสีขาว เหลือง น้ำตาล ดำ และเขียว สีเขียวนั้นเกิดจากธาตุเหล็ก (Fe) เป็นธาตุผ่าน เป็นสีเขียวคล้ำ คุณสมบัติเหมาะอย่างยิ่งต่อการนำไปแกะสลัก จึงมักพบเนฟไฟรืทในงานแกะสลักสำหรับตกแต่ง หยกเนฟไฟร์ทหาพบได้ในหลายๆทวีป แต่ไม่คอยมีบทบาทในงานเครืองประดับประเภท Fine Jewellery สักเท่าไรนัก ดังนั้นผมจะกล่าวถึงหยกชนิดนี้เพียงเล็กน้อยพอสังเขป
หยกเนฟไฟร์ทเป็นหยกที่เก่าแก่ ที่ใช้ในงานแกะสลักมาตั้งแต่ยุคแรกของประวัติศาสตร์จีน จวบจนกระทั่งศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมาจีนจึงเริ่มรู้จักหยกอีกชนิดหนึ่งที่มาจากประเทศพม่า ที่เราเรียกว่า"หยกแข็ง" หรือ "หยกพม่า" และนำหยกจากพม่าไปแกะสลักและทำเครืองประดับควบคู่ไปกับการใช้หยกเนฟไฟร์ท
หยกเจไดท์ (Sodium Aluminium Silicate) เรามักเรียกว่า "หยกพม่า" หรือ "หยกแข็ง" เป็นหยกชนิดที่มีลักษณะของ Agregate Microcrystaline ชัดเจน เมื่อส่องขยายจะเห็นรอยต่อหรือขอบของแต่ละผลึก ค่าความแข็งอยู่ที่ระดับ 7 ดัชนีหักเหแสงเท่ากับ 1.66 มีความวาวแบบขี้ผึ้งจนกึ่งแบบแก้ว ค่าความโปร่งแสงมีตั้งแต่ระดับทึบแสง กึ่งโปร่งแสง โปร่งแสง และเกือบโปร่งใสซึ่งขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของกลุ่มผลึก เจไดท์มีหลายสีมากกว่าเนฟไฟร์ เช่นสีขาว เหลือง น้ำตาล น้ำตาลแดง ม่วง เทาอมฟ้า และมีสีเขียวหลายเฉดสี ตั้งแต่ สีเขียวอ่อน เขียวอมฟ้า เขียวแอปเปิล และสีเขียวแบบมรกต (Emerald Green) เจไดท์กลุ่มสีเขียวจะได้รับความนิยมมากกว่าสีอื่น ค่อนข้างเป็นที่ต้องการของตลาดอัญมณีและมีมูลค่าการค้าที่สูงที่สุด และนิยมใช้ทำเครื่องประดับในชิ้นงาน Fine Jewellery ดังนั้นจากนี้ไปผมจะกล่าวถึง ชนิด Green Jadeite เป็นหลักนะครับ
ด้วยโครงสร้างผลึกของหยกเจไดท์ที่มีขอบรอยต่อชัดเจนนี่เองทำให้สามารถนำหยกไปปรับคุณภาพด้วยวิธีฟอกสี เติมสารเพิ่มความใส และสามารถย้อมสี โดยสารเคมีสามารถซึมผ่านเข้าภายในโครงสร้างได้ นั่นทำให้เรามีหัวข้อของการปรับปรุงคุณภาพ (Enhancement) ที่จะต้องพูดในราบละเอียดกันพอสมควร
กำเนิด (Origin) หยกเจไดท์เกิดในชั้นหินแปร ที่ได้ผ่านความกดและอุณภูมิที่สูง เงื่อนไขที่เอื้อให้หยกเจไดท์ก่อตัวขึ้นมิใช่เกิดได้ง่ายๆ เพราะการก่อตัวของผลึกแร่ต้องผ่านมีแรงกดทับและอุณหภูมืที่สูงทางธรณีและกินระยะเวลายาวนาน ดังนั้นบริเวณพบหยกมักตรงแนวปะทะของแผ่นทวีป (Tectonic plates conlision) ที่เป็นแนวก่อกำเนิดหินแปรที่กินเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล เป็นพื้นที่ทางธรณีที่กำเนิดอัญมณีหลากหลายชนิดรวมทั้งหยก
แหล่งแร่ (Source) ณบริเวณเชิงเทือกหิมาลัยที่ตรงกับรัฐคะฉิ่นของสาธารรัฐและรัฐฉานแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตรงกับตำแหน่งแนวปะทะของแผ่นทวีปยูเรเซียและแผ่นอินเดียน-ออสเตรเลียน พบแร่เจไดท์กระจายไปตามแนวเชิงเทือกเขาหลายแห่ง ที่มีปริมาณมหาศาล เท่าที่พบบางแหล่งพบแร่เจไดท์เป็นระยะทางยาว 80-120 กิโลเมตร เป็นแหล่งใหญ่ที่สุดสำคัญที่สุดในโลก แต่ละพื้นที่จะมีลักษณะเนื้อหยกที่ต่างกัน มีทั้งเนื้อผลึกหยาบ ปานกลาง และละเอียด จนกระทั่งลักษณะโครงสร้างคล้ายใยที่ผลึกอัดตัวกันหนาแน่นที่สุดและมีความใสมากที่สุด (Fibrous Structure) ซึ่งแหล่งที่พบเจไดท์คุณภาพสูงใน Myitkyina รัฐคะฉิ่น หยกจากแหล่งนี้ได้การยอมรับว่าคุณภาพดีที่สุดในโลก มีสีเขียวที่สดใส (ความอิ่มตัวสูง) และมีความใสระดับสูงสุดคือ Semi-Trasparent ซื่อทางการค้าเรียกว่า "หยกจักรพรรดิ์" (Imperial Jadeite) จัดเป็นอัญมณีที่มีมูลค่าสูงระดับต้นๆของโลกที่เดียว
เส้นทางหยก (๋Jadeite Pipeline) การทำเหมืองหยกมีทั้งเหมืองของรัฐบาลเมียนมาร์และ เหมืองเอกชนแบบสัมปทาน มีพื้นทีกว้างใหญ่มากในรัฐคะฉิ่น บางแห่งอยู่ในที่ธุรกันดารถนนเข้าไม่ถึง การควบคุมของรัฐทำได้ยาก มีทั้งแบบเจาะขุดลงในชั้นหินภูเขาในแหล่งต้นกำเนิด และชนิดทุติยภูมิที่ก้อนหยกได้หลุดออกจากแหล่งกำเนิดและถูกพัดพาไปเป็นก้อนขนาดย่อยสะสมตัวอยู่ตามผิวดิน และตามลำธารและฝั่งแม่น้ำ
แร่หยกส่วนหนึ่งได้รับการเจียรนัยเป็นอัญมณีในเมียนมาร์ อีกส่วนหนึ่งจำหน่ายในลักษณะก้อนหยกดิบ การจำหน่ายหยกมีในลักษณะประมูลซึ่งจัดอีเวนท์ขึ้นทุกปีอย่างเป็นทางการ และการจำหน่ายค้าปลีกและส่งในตลาดอัญมณีท้องถิ่น นอกเหนือจากนี้ก็มีวิธีการชื้อขายที่ทำโดยตรงกับเจ้าของเหมืองเอกชนซึ่งต้องทำความรู้จักและคุ้นเคยกับเจ้าของเหมือง การซื้อโดยตรงกับเจ้าของจะได้หยกและพลอยที่มีคุณภาพเฉลี่ยสูงกว่าสินค้าตลาดท้องถิ่น โดยปรกติเจ้าของเหมืองมักเก็บของคุณภาพสูงไว้ขายเอง เพื่อไม่ผ่านมือพ่อค้าคนกลาง การติดต่อเจ้าเหมืองทำให้ผู้ซื้อได้อัญมณีเกรดสูงกว่าตามท้องตลาด เจ้าของอัญมณีอาจส่งสินค้าออกจากเหมืองผ่านเส้นทางธรรมชาติเพื่อเลี่ยงการค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้ทางการ ส่วนใหญ่เป็นการค้านอกระบบที่รัฐบาลเมียนมาร์ควบคุมไม่ทั่วถึง การเดินทางของหยกจากแหล่งผลิตออกสู่ตลาดอัญมณีนั้นหลักๆ มีอยู่สองเส้นทางคือทางขึ้นเหนือตรงสู่่ชายแดนประเทศจีน ผ่านเทือกเขาทางมณฑลยูนนานซึ่งเส้นทางบกนี้เป็นเส้นทางที่หยกพม่าเข้าสู่ประเทศจีนมาแต่อดีต และอีกเส้นทางคือเส้นที่มุ่งลงไปทางใต้เข้าประเทศไทยทางชายแดนทั้งสามได้แก่ แม่สาย แม่ฮ่องสอน และแม่สอด เข้าสู่กรุงเทพมหานคร

การประเมินคุณภาพ เราประเมินคุณภาพหยกจากปัจจัยดังต่อไปนี้
1. สี (Hue) หยกมีหลายสี แต่สีที่ได้รับความนิยมคือสีเขียว สีเขียวที่ได้จากธาตุโครเมี่ยม (Cr) จะมีสีสดใสกว่าสีเขียวอันเกิดจากธาตุเหล็ก (Fe) สีเขียวแอปเปิล และสีเขียวมรกต (Emerald Green) จะมีมูลค่าสูงสุด โดยฉพาะอย่างยิ่งเขียวจากโครมเมี่ยมที่มีธาตุวานาเดียม (V) เกิดร่วมอยู่ด้วยจะมีสีเขียวสดเจือน้ำเงินคล้ายกับสีมรกตโคลัมเบีย โทนสีหยกต้องสว่างไม่คล้ำ แหล่งหยกสีคุณภาพสูงส่วนใหญ่มาจากเหมือง Phakant, Nansibon และ Natmaw ในอยู่รัฐฉาน
2. เนื้อหยก (Textute) เนื้อหยกมีสามลักษณะ ลักษณะแรกเราจะเห็นผลึกในเนื้อหยกชัดเจน เมื่อมองใกล้ชิดเราจะเห็นผลึกขนาดเล็กเรียงตัวกัน (Sugary Appearance) เราเรียกชนิด"เนื้อหยาบ" หรือ"ผลึกหยาบ" ลักษณะที่สองเราเห็นเนื้อผลึกบางส่วนและเนื้อคล้ายปุยเส้นใยบางส่วนผสมอยู่ด้วยกัน เราเรียกลักษณะนี้ว่า"เนื้อปานกลาง" และชนิดที่สามเนื้อหยกเป็นปุยหรือใยยามเมื่อเราส่องดูด้วยกล้อง เป็นชนิด"เนื้อละเอียด" ซึ่งในชนิดท้ายนี้อาจพบลักษณะพิเศษที่เนื้อละเอียดหนาแน่นจนคล้ายแก้ว เราเรียกว่า"เนื้อแก้ว" มีความวาวสูง ซึ่งหายากมาก หยกทั้งสามเนื้อต้องมีความสม่ำเสมอเป็นเอกภาพกลมกลืน เนื้อหนกไม่ควรมีส่วนหนึ่งส่วนใดที่ดูแตกต่าง
3. ความใส (Transparency) หยกที่แสงส่องผ่านได้มากเท่าไรก็ยิ่งมีมูลค่า ความโปร่งแสงเกิดจากความหยาบและละเอียดของผลึกหยก เนื้อหยกยิ่งละเอียดความโปร่งแสงก็เพิ่มขึ้น นั้นหมายถึงการเกาะตัวที่หนาแน่นของผลึกภายในโครงสร้าง (ซึ่งไม่เกี่ยวกับความใสที่มาจากการปรับปรุงด้วยการเติมสารเรซิ่นสังเคราะห์ผ่านกรรมวิธี) หยกธรรมชาติมีระดับความใสสูงสุดที่ "กึ่งโปร่งใส" (Semi-Transparent) ยกตัวอย่างความใสในหยก Icy Jade และ Imperial Jade
4. การปรับคุณภาพ (Enhancement) หยกธรรมชาติที่ปลอดจากกรรมวิธีฟอกสีย้อมสี และชุบเคลือบสารโพลีเมอร์ ย่อมมีราคาสูงกว่าหยกที่ได้ผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพ
การปรับคุณภาพ เนื่องจากหยกคุณภาพสูงมีปริมาณน้อย ความหายากทำให้มีการนำหยกคุณภาพต่ำและปานกลางไปผ่านขบวนการปรับปรุงให้ดูสวยงามขึ้น และมีนิยามสำหรับจำแนกประเภทหรือระดับของการปรับปรุงดังต่อไปนี้
A-Jade : คือหยกธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านขบวนการปรับคุณภาพใดๆ
B-Jade : คือการฟอกสีหยก (Bleaching & Impregnation) หยกที่ขุ่นทึบ หยกที่มีรอยด่างดำปนเปื้อน หยกที่มีคราบสีสนิมที่แทรกตัวอยู่ในเนื้อหยกเราสามารถกำจัดออกได้ด้วยการนำไปแช่ในของเหลวที่มีฤทธิ์เป็นกรด เพื่อให้กัดกร่อนสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป เมื่อรอยด่างและคราบหายไปสีหยกก็สม่ำเสมอมีเอกภาพขึ้น ทำให้เพิ่มมูลค่าเชิงพาณิชย์ การกัดกร่อนอย่างรุนแรงของกรดทำให้หยกสุญเสียความแข็งแรงของโครงสร้างตามธรรมชาติไป ทำให้เนื้อหยกเปราะแตกหักได้ง่าย จึงต้องเติมสารคงสภาพ (Stablilizer) ให้กับเนื้อหยก เพื่อเสริมความคงทนต่อการใช้งาน โดยการใช้ Synthetic Resin เป็นตัวผสาน วัสดุนี้ยังเป็นตัวเพิ่มความใสให้กับหยกอีกด้วย ดังนั้นขบวนการฟอกสีและชุบเรซินผสานเนื้อหยกจำเป็นต้องทำควบคู่กันเสมอ เราเรียกว่า "Bleaching & Impregnation"
C-Jade : (Color Induced) คือการย้อมสี หยกไร้สี และหยกสีอ่อนเราสามารถทำให้สีเข้มขึ้นด้วยการย้อม หยกที่มีเนื้อหยาบนั้นสามารถซึมซับเนื้อสีเข้าในโครงสร้าง โดยสีจะไปเกาะตัวอยู่ที่ขอบผลึกหรือช่องว่างระหว่างผลึก
อนึ่งในขั้นตอนของการฟอกสีและชุบน้ำยาผสานโครงสร้างนั้น เราสามารถผสมสีลงใน Synthetic Resin เพื่อผนวกทั้งสองขั้นตอนเข้าไว้ด้วยกัน ลักษณะนี้เราเรียกว่า B+C Jade
แล็บและการตรวจหยก : การตรวจวิเคราะห์หยกต้องทำอย่างละเอียด ห้องแล็บต่างๆและสถาบันอัญมณีศาสตร์ต้องติดตามให้เท่าทันกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพหยก (Technique of Enhancement) ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีนที่ทำกันอย่างแพร่หลาย เครื่องมือพื้นฐานประเภท Desk Tool อาจทำได้เพียงการแยกแร่หยกออกจากพลอยคล้ายคลึงหยก หรือพลอยเลียนแบบหยก แต่ไม่เพียงพอที่จะตรวจ Treatment ที่ทำได้อย่างแนบเนียนตรวจได้ยาก อย่างเช่นการอุดเนื้อหยกเพียงบางบริเวณด้วย Filler ที่มีความวาวใกล้เคียงกับเนื้อหยกมากที่สุด ยากที่จะแยกแยะด้วยตาเปล่า การฟอกสีและย้อมสีที่ทำอย่างปราณีตใกล้เคียงกับธรรมชาติ การตรวจต้องใช้เครื่องมือเทคนิคขั้นสูง อุปกรณ์เหล่านี้มีราคาสูงและต้องฝึกอบรมการใช้งานให้กับบุคคลากรที่จะใช้งาน ลองจินตนาการว่าเมื่อ 20 กว่าปีก่อนเรายังต้องส่งตัวอย่างไปตรวจที่พิสูจน์ที่ประเทศสิงคโปร์ มันยุ่งยากทีเดียว ปัจจุบันมีสถาบันที่ทางภาครัฐให้การสนับสนุนเช่น GIT ที่ให้บริการในอัตราที่ไม่แสวงหาผลกำไร
โดยพื้นฐานการตรวจหยกอุปกรณืหลักที่สนับสนุนการวิเคราะห์ได้แก่ FTIR, UV/VIS/NIR SPEC, XRD (abrasive) และหรือ LRS เป็นต้น การใช้เครื่องมือหลายตัวเพื่อยืนยันในข้อสรูปที่ต้องสอดคล้องกันและแม่นยำ ดังนั้นการส่งตัวอย่างไปตรวจวิเคราะห์สมควรพิจารณาแล็บมาตรฐานสากล (หลีกเลี่ยงแล็บห้องแถวแม้ว่าค่าบริการจะถูกเพียงไร) เราต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายตรงนี้ที่มันคุ้มค่ากับหยกราคาแสนแพงที่เราหาซื้อมา
อัญมณีแห่งความมั่งคั่ง "อัญมณีแห่งสวรรค์" ตามความเชื่อของชาวจีน หยกเป็นมรดกแห่งสุนทรีย์ผ่านศีลปะการแกะสลักสืบทอดมายาวนานในอารยะธรรมจีน จวบปัจจุบันเราเห็นหยกในงานแสดงศีลปะ ในงานแสดงสินค้าต่างๆหยกยังอวดความงดงามบนเครื่องประดับไฟน์จิวเวลรี่ และในงานประมูลวัตถุมีค่า ความนิยมในหยกคงสืบทอดต่อไปยังอนาคคต แน่นอนว่าอุปสงค์ที่เติบโตตามเศรษฐกิจจีนพร้อมๆกับชนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น หยกยังคงเป็นสิ่งเชิดชูฐานะ ยังเป็นอัญมณีแห่งสวรรค์ตราบนานเท่านานในตะวันออกไกล เมียนมาร์ยังคงมั่งคั่งในตำแหน่งแหล่งหยกที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าราคาหยกได้รุดหน้าไปมากจนเกินมูลค่าพื้นฐาน (Intrinsic Value) ค่อนข้างชัดเจนในหยกคุณภาพสูงอย่าง Imperial Jade ที่เป็นเกรดใช้สำหรับไฟน์จิวเวลรี่
อันที่จริงเรื่องราวเกี่ยวกับหยกมีมาก แต่สาระค่อนข้างเป็นเชิงวิชาการ จะเขียนให้เป็นสาระคดีผสมบันเทิงสำหรับผู้ที่ชอบอ่านแนวเพลินๆคงไม่ง่าย เนื้อหารายละเอียดมันเยอะมาก บทความเวอร์ชั่นนี้ผมมัวแต่คำนึงถึงเนื้อหาที่นักสะสมอัญมณีควรรู้ ก็เลยทำให้เนื้อหาเคร่งเครียดไปหน่อย พยายามเขียนแบบสังเขปก็เล่นไปหลายหน้ากระดาษ A4 ละครับ แล้วพบกันอีกครับ
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์ (FGA)