“เส้นทางที่กันดารและยาวไกลกว่าที่อัญมณีทั้งสองจะมาเคียงคู่กันเป็นเครื่องประดับล้ำค่า”
"เส้นทางเพชร-เส้นทางพลอย"
อัญมณีศาสตร์ (Gemology) วิชาที่ว่าด้วยการศึกษาอัญมณีต่างๆ ได้ถูกแบ่งแนวทางศึกษาอัญมณีออกเป็นสองสาขาวิชา หรือเรียกว่าสองสายวิชา ชึ่งแยกออกจากกัน ได้แก่การศึกษาเรื่องเพชร (Diamond study) และการศึกษาเรื่องพลอย (Coloured stone study) ขอยกตัวอย่างเช่น สถาบัน Gemological Association of Great Britain ( GEM-A) ซึ่งเป็นสถาบันอัญมณีศาสตร์ที่ เก่าแก่ที่สุดของโลก แยกวุฒิบัตรทางอัญมณีศาสตร์เป็น 2 สาขาคือ Gemology Diploma (FGA) และ Diamond Diploma (DGA) ทีนี้เรามามองเปรียบเทียบเส้นทางของเพชร และเส้นทางของพลอย ว่าอัญมณีทั้งสองนั้นมีความเป็นมาที่เหมือนหรือต่างกันตรงไหนอย่างไรบ้าง ก่อนที่จะเดินทางมาถึงมือผู้บริโภค กล่าวคือ การเดินทางนับตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
เหมืองเพชรเป็นเหมืองขนาดใหญ่มหึมากินเนื้อที่กว้างขวาง ทำการขุดค้นลงไปในระดับที่ลึกมากจากผิวดิน เหมืองส่วนใหญ่เป็นแหล่งปฐมภูมิที่ต้องทำการขุดเจาะและ ระเบิดหินลงไปในปล่องภูเขาไฟเก่าซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดเพื่อหาเพชร และมีเหมืองแบบที่ทำบนลานแร่ที่ถูกน้ำพัดพามาสะสมใต้ชั้นดินอยู่บ้าง (ทุติยภูมิ ) แต่ก็เป็นส่วนนัอย การทำเหมืองเพชรจึงต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ เครื่องมือหนักและอุปกรณ์ทันสมัย ทั้งต้องมีผู้ชำนาญการทางธรณีวิทยา วิศวกร และการระดมแรงงานจำนวนมากในภาคอุตสาหกรรมนี้ เพชรที่ขุดได้ถ้าเป็นเพชรเกรดดีก็นำไปทำเครื่องประดับ เพชรเกรดต่ำถูกนำไปใช้เครื่องมือเจาะ เครื่องตัด เครื่องขัดต่างๆ แร่เพชรที่ขุดได้สามารถนำไปใช้งานได้จนหมดสิ้น การทำเหมืองเพชรเป็นอุตสาหกรรมแบบสัมปทานถูกผูกขาดถึงเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทชื่อ De Beers มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในสหราชอณาจักร บริษัทนี้มีเงินทุนมหาศาล จึงมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งการสำรวจหาแหล่งแร่ การศึกษาวิจัยทางวิชาการ การควบคุมการผลิตทุกขั้นตอน การตลาดที่มีกลไกควบคุมและกำหนดราคาเพชรในตลาดโลก ตลอดจนถึงการส่งเสริมการขาย การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ
( การทำเหมืองเพชร ) Credit: www.techblog.com
เหมืองพลอยนั้นมีลักษณะตรงกันข้าม คือเป็นเหมืองขนาดเล็ก มีพื้นที่ไม่กว้างใหญ่เท่าเหมืองเพชร เหมืองพลอยในแต่ละประเทศต่างคนต่างทำเป็นเอกเทศไม่ขึ้นต่อกัน เกือบทั้งหมดเป็นเหมืองในแหล่งทุติยภูมิ คือแหล่งลานแร่ที่ถูกน้ำพัดพามาสะสมใต้ชั้นดินทรายธรรมดา การทำเหมืองพลอยจึงขุดไม่ลึกเท่าเหมืองเพชร การขุดโดยมากยังใช้แรงงานคนพื้นเมือง มีการใช้เครื่องจักรขนาดเล็กอยู่บ้าง การทำเหมืองที่ต้องขุดเจาะลงในชั้นหินก็พอมีบ้างแต่ไม่มาก ในการขุดพลอยจะเลือกเก็บเอาเฉพาะแร่ที่มีคุณสมบัติใช้ทำเครื่องประดับได้เท่านั้น ส่วนที่ใช้ไม่ได้ก็ต้องทิ้งไป ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ทั้งหมดในเชิงอุตสาหกรรมอย่างเพชร ปริมาณพลอยในลานแร่ (placer) นั้นเราไม่อาจคาดการณ์ศักยภาพได้แน่นอน ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีผู้เข้าไปลงทุนทำสัมปทานเปิดเหมืองขนาดใหญ่สักเท่าไร เมื่อขุดจนหมดสายแร่พลอยเหมืองก็ปิดตัวไป การทำเหมืองพลอยจึงไม่มีการรวมตัวเป็นบริษัทใหญ่อย่างกับเหมืองเพชรที่เป็นลักษณะอุตสาหกรรมชัดเจน เหมืองพลอยก็เลยไม่มีการระดมเงินทุนสนับสนุนอย่างเป็นระบบ ฉะนั้นไม่ค่อยมีการทำประชาสัมพันธ์โฆษณาเพื่อส่งเสริมการขายอย่างวงการค้าเพชร การเผยแพร่ข่าวสารจึงเป็นไปอย่างจำกัด และนี่คือข้อเสียเปรียบของวงการค้าพลอย งานเจียรนัยพลอยนั้นยังคงลักษณะของงานหัตถกรรม พื้นบ้าน (handicraft) เป็นภูมิปัญญาสืบทอดกันมา ในขณะที่เพชรนั้นเป็นโรงงานเจียรนัยระบบปิด การที่เหมืองพลอยไม่ใช่อุตสาหกรรมแบบสัมปทานผูกขาดอย่างเพชร ดังนั้นตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำก็จะมีบุคคลอาชีพต่างๆมากมายเข้าไปเกี่ยวข้อง ตั้งแต่คนขุดพลอย พ่อค้ารับซื้อพลอยที่ปากบ่อ โรงงานเจียรนัยพลอย คนเดินพลอย โรงงานทำเครื่องประดับ ไปจนถึงร้านค้าปลีกย่อย ทำให้มีการกระจายรายได้ในวงกว้าง
( การทำเหมืองพลอย ) credit:www.sportlife7.blogspot.com
ที่นี้มามองในมิติของความงามในฐานะเครื่องประดับกันบ้าง เพชรก็คืออัญรูปหนึ่ง (Polymorph) ของธาตุคาร์บอนบริสุทธิ์ การประเมินค่าขึ้นอยู่กับความใสสะอาดบริสุทธิ์ และผิวที่วาวสะท้อนแสง การจัดเกรดเราเรียงตามลำดับของความขาว (ความสะอาด) โดยเริ่มจากสี D,E,F,G ตามลำดับจนถึงอักษร Z ซึ่งเราสามารถศึกษาจากตารางเทียบสีได้ เพชรนั้นเป็นอัญมณีไร้สี (colourless) ความงามของเพชรเกิดจากปัจจัยสองประการคือ ประการแรกได้แก่ความแวววาวเป็นประกายจากคุณสมบัติของผิวเพชร และความสามารถในการกระจายแสงออกเป็นสีรุ้ง ( Dispersion) อย่างที่โบราณเรียกกันว่าสีน้ำมันก๊าด ลองนึกถึงตอนที่เราหยดน้ำมันก๊าดลงในน้ำแล้วสะท้อนแสงสีรุ้งออกมาให้เห็น หากว่าเพชรไม่มีประกาย และไม่กระจายแสงเป็นสีรุ้งแล้ว ก็จะไม่มีความงามในฐานะอัญมณี ในธรรมชาติเราอาจพบเพชรที่ใสสะอาดมาก มีความบริสุทธิ์แต่ไร้ซึ่งประกายและไม่กระจายแสงรุ้ง สาเหตุเกิดจากอะไรนั้นผมจะเล่าในรายละเอียดในบทความคราวต่อๆไป
พลอย (Coloured stone) นั้นมีหลายชนิด หลายตระกูล แต่ละชนิดเกิดจากแร่ธาตุแตกต่างกันไป เสน่ย์ของพลอยคือความหลากสีสัน และ ประกายเจิดจ้า และพลอยบางชนิดยังสามารถกระจายแสงเป็นสีรุ้งได้แบบเพชรอีกด้วย พลอยบางอย่างสามารถแสดงปรากฎการณ์พิเศษ ( Phoenomenon) ได้ด้วย เช่น พลอยที่มีสตาร์ (Asterism) พลอยตาแมว (Chatoyancy) และพลอยที่เปลี่ยนสีเองได้ (Colour change) การประเมินค่าก็ขึ้นกับ ชนิด ตระกูล ความหายาก ระดับคุณภาพของสี ประกาย และ ความสะอาดของพลอยนั้นๆ
เพชร และ พลอยแม้มีเส้นทางที่มาอันแตกต่างกัน แต่ในที่สุดอัญมณีทั้งสองก็ได้เดินทางมาบรรจบพบกันที่ปลายทางที่บนตัวเรือนเครื่องประดับ ทั้งสองมาอยู่เคียงคู่กัน และต่างก็ทำหน้าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันโดดเด่นงดงาม เปรียบเสมือนผู้คนในสังคมที่ล้วนแต่ต่างกำเนิด ต่างชาติพันธ์ ต่างที่มา ต่างความสามารถความถนัด เมื่อมาอยู่ร่วมสังคมเดียวกันก็ให้ความร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมนั้นให้งดงามน่าอยู่ ดุจดั่งตัวเรือนเครื่องประดับที่ประดับที่ประกอบขึ้นด้วยอัญมณีเลอค่าเช่นเพชร และพลอยนั่นเอง
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์
คลีนิกอัญมณี
"คลีนิกอัญมณี" เป็นคอลั่มน์รวมบทความต่างๆทางอัญมณีศาตร์ ทั้งที่เกี่ยวกับแวดวงการค้าอัญมณี และในเชิงวิชาการของการตรวจวิเคราะห์พลอยประเภทต่างๆในห้องแลบ ยังรวมไปถึงเรื่องราวอัญมณีที่อยู่ในกระแสความสนใจซึ่งอาจมาจากคำถามที่พบบ่อยเป็นต้น บทความที่ผมเขียนขึ้นจะถูกรวบรวมไว้ในที่นี้ ท่านสามารถติดตามบทความใหม่ของเราที่จะนำเสนอเป็นระยะๆ รวมถึ่งการอ่านเรื่องย้อนหลังได่อีกด้วย
วัฒน์
(หมอพลอย)
หน้าที่เข้าชม | 368,250 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 271,001 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ก.พ. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 20 ส.ค. 2568 |
ติดต่อสอบถาม
โทรศัพท์: 081-8102763
LINE ID: siriwat28
siriwat.jiamanusorn@gmail
Fanpage: @jwlab.gem