การเผาพลอบแบบขั้นสูง
(Advanced Heat Treatment)
การเผาแบบ Be /เผาด้วยปฎิกริยาแบริลเลี่ยม
การเผาพลอยที่เป็นนววัตกรรมล่าสุด (Since2001) ที่ให้ผลลัพธ์น่าพอใจ สามารถแก้ไขปัญหาสีพลอยที่การเผาพลอยแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้ กรรมวิธีการเผาแบบ Be นี้เป็นประเด็นสำคัญที่ผมต้องกล่าวถึงในรายละเอียดมากเป็นพิเศษ เพราะมีคนจำนวนมากที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือรู้อย่างผิดๆเกี่ยวกับการใช้แร่แบริลเลี่ยมมาเป็นตัวเร่งปฏิกริยาในการเผาพลอย การได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงความเป็นจริง หรือข้อมูลที่จงใจบิดเบือนจากความเป็นจริงโดยกลุ่มนักวิชาการต่างชาติ ล้วนทำให้ประเทศไทยเราสูญเสียโอกาสทางการค้า
Be (Beryllium)คือแร่ชนิดหนึ่งที่เราเติมลงไปในเบ้าเผาพลอย เพื่อให้เป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยา(Cathalyst) ในการเผาพลอย เพื่อให้วิวัฒนาการของสีพลอยเกิดได้รวดเร็วขึ้นและมีความสมบูรณ์ขึ้นกว่ากรรมวิธีแบบเดิมๆ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยี่แห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น และ Beทำหน้าที่เป็นตัว “Stabilizer” ให้สีพลอยคงสภาพอยู่ถาวร
Be เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่พบในธรรมชาติ เป็นองค์ประกอบในพลอย ”Chrysoberyl“ หรือที่เราเรียกว่าพลอยไพฑูรย์ พลอยนี้สามารถพบได้ในแหล่งที่เราขุดพบพลอยประเภทคอรันดัมอีกด้วย เพราะในธรรมชาติแร่ธาตุต่างๆเกิดอยู่ปะปนกันอยู่ใต้เปลือกโลก ตัวแร่ Be บริสุทธิ์นั้นปราศจากสี เมื่อบดละเอียดเรานำมาใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการปรับคุณภาพพลอยด้วยความร้อน โดยมันจะไปดึงศักยภาพในการแสดงสีของพลอยออกมาให้ปรากฏชัดเจนได้มากกว่าการเผาพลอยแบบปรกติธรรมดา ซึ่งแร่หรือธาตุ Be นี้โดยตัวมันเองก็ไม่มีสีสันแต่อย่างใด และมันไม่ใช่สีย้อมตามที่มีการกล่าวอ้าง
(#1)ผลีกแร่/พลอย Chrysoberyl อัญมณีธรรมชาติชนิดหนึ่ง
(#2)ภาพด้านล่างคือผงแร่ Berylium ที่บริสุทธิ์ไม่มีสีและไม่ใช่สารให้สี มันมีบทบาทในการเร่งปฏิกริยา(Cathalyse)ในธาตุผ่านที่ต้องมีอยู่แล้วในตัวพลอยให้แสดงสีออกมา และช่วยให้สีนั้นคงสภาพอยู่อย่างถาวร (Stabilizer)
ผงแร่ Be นี่เองที่ถูกกล่าวหาจากสถาบันต่างประเทศบางสำนัก ว่าเป็นตัวผู้ร้ายเป็นกรรมวิธีย้อมสีพลอยแบบหนึ่ง โดยกำหนดคำนิยามเอาไว้ว่า”การย้อมแบบทั้งก้อน” หรือ “ย้อมผลึก” (Bulk Diffusion/Lattice Diffusion) ชึ่งในความเป็นจริงหาได้เป็นอย่างที่กล่าวหาไม่ (แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมในหนังสือ “TheQualityEthernal Ploy Thai”, by Pasphong Chinudompong) ด้วยเหตุผลดังนี้
1. Be ไม่มีสีใดๆ ไม่ใช่สารให้สี แต่มันตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาในขบวนการปรับคุณภาพสีพลอยด้วยความร้อน มันเป็นเพียงผงแร่บริสุทธิ์ที่บดละเอียดของพลอยไพฑูรย์ และในธรรมชาติเราก็สามารถพบแร่พลอยไพฑูรย์ในแหล่งเดียวกับที่เราขุดพบแร่คอรันดัม (แซฟไฟร์ และทับทิม) ใต้เปลือกโลกแร่พลอยพวกนี้มาก็อยู่ใกล้ๆกัน ปะปนกันไปไม่ใช่ลักษณะต่างแยกกันอยู่ Beสามารถเกิดร่วมอยู่กับแร่คอรันดัมได้ในธรรมชาติ Beอาจเป็นผลึกคลิสตัลขนาดเล็กที่เข้าไปอยู่ในเนื้อคอรันดัมก็ได้ในลักษณะของมลทินธรรมชาติ(Inclusion) หรือแม้กระทั่งไปอยู่ปนอย่างกลมกลืนภายในเนื้อพลอยคอรันดัมในฐานะของธาตุผ่าน (Trace element/ Transition element) เคยมีการตรวจพบ Be ในตัวอย่างพลอยแซฟไฟร์ธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านการเผา เช่นพลอยแซฟไฟร์ที่มาจากอาฟริกาตะวันออก (มาดากัสการ์) กับแซฟไฟร์ของเอเชียที่มาจากอ.เด่นชัย จังหวัดแพร่ และจากบ้านห้วยทราย สาธารณะรัฐประชาชนลาวเป็นต้น ซึ่งตัวอย่างพลอยจากทั้งสองแหล่งล้วนเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ธาตุ Be นั้นไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมสำหรับพลอยคอรันดัมในธรรมชาติแต่อย่างใดเลย อนึ่ง Be ที่นักวิขาการต่างประเทศกล่าวถึงราวกับผู้ต้องหานั้น มันมิใช่แร่ธาตุธรรมดาด้อยค่าแต่ทว่ามันมาจากพลอยมีค่า (Precious Stone)ที่นำมาบดและทำให้เป็นผงสีขาวบริสุทธิ์ เกรดดีที่สุดมีราคาจำหน่ายสูงถึงกิโลกรัมละ 700,000 บาท (เจ็ดแสนบาท)
2. สีที่จะปรากฏขึ้นมาหลังผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพโดยใช้ Be เป็นตัวเร่งปฏิกิริยานั้น มันขึ้นอยู่กับเชื้อสีที่อยู่แล้วในเนื้อพลอยนั้น ตัวอย่างเช่น พลอยสีเขียว(Green sapphire)และ สีเหลือง(Yellow sapphire)จำเป็นต้องมีธาตุ Fe สีแดงอย่างทับทิมต้องมีเชื้อสีแดงจากธาตุ Cr และสีที่ได้จากกรรมวิธีนั้นมีความคงทนเสถียรแบบพลอยธรรมชาติ
(#3)ชาร์ทธาตุผ่านในพลอยที่แสดงสีของตนออกมา โดยมี Be เป็นตัวเร่งปฏิกริยาและทำให้คงสภาพ
ในเมื่อมันไม่ใช่สีย้อมพลอยดังนั้น เวลานำพลอยใส่เบ้า เราก็สามารถใส่พลอยสีอะไรก็ได้คละสีปนๆกันไปได้เลย ไม่ต้องมาคอยแยกสี เพราะว่าสีที่จะได้หลังการเผานั้นเกิดจากตัวของพลอยเอง เชื้อพลอยแต่เดิมเป็นอย่างไรเผาออกมาก็ได้สีธรรมชาติของพลอยนั้น เวลากู้พลอยออกจากเตาเราก็จะเห็นพลอยคละสีกันตามเชื้อสีของตน ดังนั้นมันชัดเจนแล้วว่ามันไม่ใช่การย้อมสี
(#4) รูปการใส่ก้อนพลอยคละสีปนกันในเบ้าเดียวกัน
พวกนักวิชาการที่หมกมุ่นอยู่กับตำรา นักทฤษฎีเหล่านั้นที่ไม่เคยแม้แต่ลงมือแม้แต่ทำการเผาพลอยด้วยตนเอง ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่เขาย่อมไม่รู้ไม่เข้าใจในมิติของการลงมือทำหรือว่า”ภาคปฏิบัติ” การไม่รู้จริงมีผลให้พวกเขาใช้มโนภาพตั้งทฤษฎีขึ้นมาคัดค้านต่างๆนาๆ ผมเผยแพร่บทความเกี่ยวกับอัญมณีในเว็บไซต์อยู่เนืองๆ และเว็บไซต์ของผมเป็นเว็บไซต์สองภาษาครับ แต่บทความนี้หัวข้อนี้ผมจะไม่แปลให้เป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่าไม่ต้องการไป Debate ขัดแย้งกับพวกเขาเหล่านั้น พวกฝรั่งปากว่าตาขยิบทั้งหลายเหล่านี้ พวกนี้คอยเขียนบทความบิดเบือนมาโจมตีพลอยไทย พอพลอยไทยราคาตกก็รีบเข้ามากว้านซื้อเอาไป ถ้าเราลองสังเกตให้ดีๆ แม้ทุกวันนี้ก็ยังเข้ามาซื้ออย่างต่อเนื่องไม่เคยหยุด ซื้อไปแล้วก็ไม่เคยว่าไม่เคยบ่น และก็ไม่เคยส่งสินค้ามาคืนอีกด้วย ถ้าคุณภาพไม่ดี ใช้แล้วสีมันจางสีมันตกจริงป่านนี้มันคงทยอยคืนสินค้ามาแล้ว มันน่าคิดไหมล่ะ คนไทยตาสว่างกันได้แล้วครับ อย่ามัวให้ฝรั่งมันมาหลอกต่อไปอีกเลยครับจงมั่นใจว่าการใช้ แร่ Be มาปรับสภาพพลอยนั้นให้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพและมีความเสถียร สีพลอยคงทนถาวรตลอดชีพตลอดกาลเช่นเดียวกับในธรรมชาติทุกประการ
3. เนื่องจากการใช้ Be ในปริมาณเพียงเล็กน้อยการตรวจหาสาร Be ในทางแล็ปนั้นก็พบในสัดส่วนปริมาณที่น้อยเสียจนไม่มีความสลักสำคัญเลยกล่าวคือพบเพียงหนึ่งของล้านส่วนเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แปลกใจถ้าเจ้าเครื่องมือชื่อว่า LIBS ที่สร้างขึ้นมาเฉพาะเจาะจงเพื่อการตรวจจับธาตุเบริลเลี่ยมนั้น บางครั้งก็จับการปรากฏของธาตุBe ไม่ได้(Undetectable) ทั้งๆที่พลอยเม็ดนั้นได้ผ่านการปรับปรุงด้วยBeมาแล้วด้วย มันยังก็ไม่ยอมจบเพียงแค่นั้น ห้องแล็ปต่างประเทศนั้นก็อุตส่าห์ดำเนินการตรวจต่อไปอีก โดยนำไปตรวจด้วยเครื่องมือ LA-ICP-MS ที่สามารถหาค่าได้ละเอียดถึงระดับหนึ่งในพันล้านส่วนเลยทีเดียว เครื่องหมายคำถามมากมายเลยเข้ามาในสมองผม คำถามก็คือ “ทำเพื่ออะไร???” หากมันไม่ใช่เป็นการจ้องหาเรื่อง
อนึ่งขบวนการตรวจหาสาร Be นั้นจำเป็นต้องเจาะเนื้อพลอยเพื่อนำไปตรวจ คือต้องยิง Laser (ND YAK) เข้าไปที่เนื้อพลอย การเจาะพลอยด้วยเลเซอร์นั้นทำให้พลอยเป็นรูและเกิดรอยตำหนิลักษณะรอยไหม้(Abrasive Device) หากทำในพลอยที่เจียรนัยเสร็จแล้ว พลอยนั้นจะเกิดตำหนิทำให้ราคาก็ตกถึงแม้ว่าจะเลี่ยงไปเจาะที่บริเวณขอบพลอยหรือบริเวณที่เห็นไม่ชัดอย่างไรก็ตามเราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดรอยแผลบนตัวพลอยได้อยู่ดี ดังนั้นการตรวจพลอยควรทำตั้งแต่ยังอยู่ในสภาพก้อนพลอยที่ยังไม่ได้เจียรนัย ห้องปฏิบัติยังคิดค่าใช้จ่ายในการตรวจ Be ในอัตราสูง ค่าบริการอาจจะแพงกว่าราคาอัญมณีที่ส่งไปตรวจเสียอีก อันที่จริงแล้วการตรวจมันก็ไม่มีความจำเป็นหรอกครับเพราะพลอยที่ปรับปรุงด้วยสาร Be นั้นมีคุณสมบัติของพลอยธรรมชาติทุกประการไม่ว่าความเสถียรของสีพลอยและความคงทน
4. การทำ Be treatment จะได้ผลดีก็เฉพาะกับวัตถุดิบจากบางแหล่งเท่านั้น โดยพลอยนั้นต้องมี Fe (Iron) และ Mg (Magnesium) เป็นธาตุผ่าน กล่าวคือเป็นพลอยที่กำเนิดในหินภูเขาไฟ (บะซอลท์) ยกตัวอย่างเช่นพลอยจากประเทศไทย พลอยจากประเทศแทนซาเนียเป็นต้น ซึ่งธาตุผ่าน Fe นี้ต้องมีในปริมาณพอเหมาะพอสมควรเท่านั้นต้องไม่มากหรือน้อยเกินไป ถ้ามีน้อยไปเราไม่สามารถBooth สีให้เกิดชึ้นได้ แต่ถ้ามากเกินไปมันเผายากและใช้เวลานาน ซึ่งไม่คุ้มต่อการลงทุน พลอยที่นำมาเผา ต้องเป็นพลอยเนื้อดีไม่แตกร้าวจึงจะสามารถทนความร้อนได้ เพราะว่าในขบวนการเราจำเป็นต้องใช้อุณหภูมิสูง
อนึ่งหากเป็นการย้อมสีจริงอย่างที่นักวิชาการต่างชาติกล่าวอ้างแล้ว การย้อมสี (ดิฟฟิวชั่น) มันต้องทำได้กับพลอยที่มาจากทุกแหล่งโดยปราศจากข้อยกเว้นหรือข้อจำกัดใดๆ และนี่เป็นเหตุผลที่ไม่อาจแย้งได้
5. การเปลี่ยนสีจากพลอยเขียวส่อง(Green Sapphire) ให้เป็นสีเหลืองบุษราคัม (Yellow Sapphire) สามารถกระทำได้ด้วยการใช้ธาตุ Be เป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยา เพราะพลอยทั้งสองชนิดมี Fe เป็นธาตุผ่านที่เหมือนกัน หรือว่ามีธาตุผ่านที่ร่วมกันนั่นเอง (อ่านเพิ่มเติมในบทความ “สีสันอัญมณี”) ยิ่งกว่านั้นในทิศทางที่ย้อนกลับ พลอยบุษราคัมที่เกิดจากเขียวส่องที่เผาด้วย Beแล้วนั้น เรายังสามารถทำมันให้กลับไปที่สีเขียวอย่างเดิมได้ด้วยความร้อนเป็นตัวช่วยจัดการ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของช่างเผาพลอยชาวไทยการที่ทำให้กลับไปกลับมาได้ (Treatment back & fort) ตรงนี้เองที่เป็นเหตุผลยืนยันที่หนักแน่นว่ามันไม่ใช่การย้อมสีแบบ Diffusion ตามที่นักทฤษฎีวิชาการทั้งหลายเข้าใจ เพราะถ้าเป็นการย้อมสีหรือซ่านสีจริงๆแล้วมันก็ไม่สามารถทำให้ถอยกลับคืนสู่สีเดิมได้โดยเด็ดขาดครับ ประเด็นนี้ฝรั่งไม่รับรู้ หรือว่าจงใจที่จะไม่รับรู้ และยังคงดื้อดึงฝังหัวกับทฤษฎีของตนอีกต่อไป ท่านผู้อ่านโปรดพิจารณาดูเถอะครับ
(#5)การเผาสามารถเปลี่ยนตำแหน่งสีพลอยระหว่างพลอยเขียวส่อง-บุษราคัม
ในตอนเริ่มแรกที่ช่างทำพลอยชาวเมืองจันท์ได้ใช้ Be มาปรับปรุงคุณภาพพลอย ผลลัพธ์ที่ได้นั้นประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง พลอยที่ได้มีคุณภาพดี มีสีสันที่สวยงาม มีเนื้อพลอยที่มีความใสสะอาด ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดอัญมณีอย่างมาก และถูกจัดอันดับให้เป็นพลอยเกรดดีมีคุณภาพสูงในตลาดอัญมณีทำให้เราขายพลอยได้ราคาสูงสอดคล้องกับคุณสมบัติของพลอยนั้น แต่ต่อมามีการโจมตีจากนักวิชาการจากห้องปฏิบัติการตรวจอัญมณีของสถาบันต่างประเทศแห่งหนึ่ง สถาบันแห่งนี้ได้กล่าวหาว่าการปรับปรุงพลอยด้วยวิธีนี้คือ “กรรมวิธีซ่านสีพลอยแบบหนึ่ง” (ย้อมสีแบบหนึ่ง) ทำให้วงการอัญมณีเกิดสับสนและตื่นตระหนกกับรายงานดังกล่าว ส่งผลให้พลอยที่ปรับปรุงคุณภาพด้วยธาตุ Be เกิดราคาตกต่ำอย่างมาก ทั้งๆที่”การซ่านสีพลอย” ตามที่กล่าวหามิใช่ความจริงแต่ประการใด
รากเหง้าแห่งปัญหา
การปรับปรุงคุณภาพพลอยด้วยสาร Be เป็นงานละเอียดที่ต้องพิถีพิถันทุกขั้นตอนต้องมีความชำนาญ เริ่มตั้งแต่การกะสัดส่วนปริมาณของสารเร่งปฏิกิริยา (Be) ให้เหมาะสมสัมพันธ์กับปริมาตรของพลอย การควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม การเติมก๊าซออกซิเจนในห้องสันดาปต้องมีความแม่นยำ กรณีเกิดปัญหาไฟฟ้าดับหรือไฟฟ้าตกต้องรู้วิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง การนำพลอยออกจากเตาของแต่ละรอบการเผาก็ต้องตรวจเช็คงานให้เรียบร้อย ในลักษณะว่าแทบตรวจพลอยเม็ดต่อเม็ดเลยทีเดียว คนควบคุมเตาต้องเป็นคนใจเย็น ช่างสังเกต เอาใจใส่และมีความอดทนค่อนข้างมาก เตาทำพลอยแต่ละแห่งก็จะมีสูตรเฉพาะของตนแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่เกิดจากการลงมือทำจริงๆ มีการลองผิดลองถูกครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งได้สูตรที่ลงตัวเฉพาะของตนเอง คนท้องถิ่นเมืองจันท์คลุกคลีอยู่กับอัญมณีมาตั้งแต่เกิด เพราะเป็นอาชีพสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ ได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น และยังพัฒนาต่อยอดไปได้เรื่อยๆ พวกเขาเป็นนักคิดนักทดลอง เปรียบเสมือนนักวิทยาศาสตร์ในภาคปฏิบัติ คนเหล่านี้ไม่ได้เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีวุฒิบัตรปริญญาใดๆ ความรู้เกิดจากภาคปฏิบัติล้วนๆ ไม่รู้จักคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่สามารถโต้ตอบ หรือต่อกรกับพวกนักวิชาการต่างประเทศทั้งหลายที่คอยวิพากษ์วิจารณ์งานเผาพลอยของเขาเลยทำให้ต้องตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ
พลอยที่มาจากแต่ละแหล่งแต่ละเหมืองก็ใช้ระยะเวลาในการปรับปรุงคุณภาพไม่เท่ากัน พลอยบางล็อตเราใช้เวลาการเผาเพียงหนึ่งรอบ(หนึ่งสัปดาห์) ก็สำเร็จลุล่วง พลอยบางชุดเผาครั้งเดียวอาจยังไม่ได้ผล อาจต้องเผาถึงสองรอบ (สองสัปดาห์) จึงจะมีความสมบูรณ์ พลอยที่เผายากๆอาจใช้เวลาการเผาตั้งแต่สามรอบขึ้นไป ขนาดกะรัตของพลอยก็เป็นตัวแปรที่สำคัญ พลอยขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาอยู่ในเตานานมากขึ้นไปอีก อาจกินเวลาเป็นเดือนหรือหลายๆเดือน คนควบคุมดูแลเตาต้องคอยตรวจตราผลงานของแต่ละรอบไฟ เพื่อดูว่าพลอยได้คุณสมบัติตามต้องการหรือยัง ถ้าพบว่าสีเดินตัวไม่เต็มทั่วเม็ดก็ต้องนำกลับเข้าเตาเพิ่มรอบเวลาการเผาต่อไปอีกจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์
ทุกอาชีพมีคนที่ซื่อสัตย์สุจริตต่อวิชาชีพ และก็มีคนที่ทั้งฉ้อฉลและมักง่ายสะเพร่าอยู่ปะปนกัน คนที่มีคุณธรรมก็สามารถดำรงยืนหยัดในอาชีพต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นพวกที่มักง่าย ที่ทำงานแบบสุกเอาเผากิน คอยรับจ้างเผาพลอยเพียงคิดแค่ว่าทำแล้วได้ผลตอบแทนดี โดยที่จริงไม่ได้มีใจรักในอาชีพและยิ่งกว่านั้นยังไม่มีพื้นฐานทักษะใดๆรองรับ ที่เข้ามาประกอบอาชีพนี้เพราะทำตามผู้อื่นหรือมีคนชักชวน เสมือนอาชีพยอดฮิตที่ทำเลียนแบบกัน คำว่า “ทำแล้วรวย” นั่นคือเหตุผลง่ายๆของพวกเขา ความไม่รู้จริงหากประกอบกับความไม่ซื่อสัตย์เข้าไปด้วยแล้วมันก็เสียหายไปกันใหญ่ เช่นการเผาพลอยไม่ครบตามกำหนดเวลาของรอบไฟ (ไม่ครบสัปดาห์)ด้วยเหตุผลว่าต้องการประหยัดเวลาประหยัดเชื้อเพลิงพลังงานเพื่อลดต้นทุน หรือว่าตั้งใจเผาเพียงรอบเดียวแต่ไปบอกลูกค้าว่าเผาแล้วสองหรือสามรอบ และเก็บเงินจากลูกค้าเกินความเป็นจริง ซึ่งการเผาไม่ครบตามกำหนดเวลานั้นทำให้พัฒนาการของสีพลอยไม่สมบูรณ์ ถ้าพลอยนั้นไม่ผ่านการตรวจควบคุมคุณภาพ (QC)แล้วออกไปสู่ตลาดย่อมก่อปัญหา พลอยที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้ถ้าเรามองอย่างผิวเผินที่ภายนอกอาจจะไม่รู้ อาจดูไม่ออกว่าสีพลอยยังไม่เต็ม แต่เมื่อนำทดสอบตรวจด้วยการจุ่มก้อนพลอยลงในน้ำยาตรวจพลอยหรือว่าน้ำธรรมดาก็ได้ เราก็รู้ว่าพลอยยังเผาไม่เสร็จ เพราะสังเกตเห็นหย่อมที่ไม่มีสีอยู่แกนกลางพลอย หรือในลักษณะตรงกันข้ามคือแกนกลางมีสีอ่อนหรือเข้มกว่าบริเวณโดยรอบนั่นแสดงว่าพลอยยังไม่มีพัฒนาการของสีที่สมบูรณ์ (รอยโว่ตรงแกนกลางเราเรียกว่า”หน้าต่าง”) สีจึงจำกัดอยู่ที่รอบนอกไม่เข้าถึงแกนใน ซึ่งพลอยเผาแบบสะเพร่า แบบสุกเอาเผากินอย่างนี้ มันทำให้ผมนึกเปรียบเทียบไปถึงทุเรียนที่ชาวสวนรีบตัดนำไปขายทั้งที่ยังอ่อนอยู่แล้วมันทำให้ความเสียหายความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้ส่วนรวม เกษตรกรอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องก็พลอยได้ผลกระทบไปด้วย
(#6)ภาพพลอยที่มีสีแยกชั้นหรือรอยโหว่ของสีจากการเผาที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
เมื่อพลอยที่เผามั่วๆแบบสุกเอาเผากินอย่างนี้เข้าไปปะปนกับพลอยอื่นๆในตลาดอัญมณี แล้วสถาบันตรวจอัญมณีในต่างประเทศนั้นบังอิญได้ตรวจพบเข้าเลยนำไปโจมตีกล่าวหาว่าเป็น “Diffusion”ประเภทหนึ่ง“ดิฟฟิวชั่น”คือการเอา”สารให้สี” (Color agent) มาฉาบไว้ที่ผิวนอกแล้วใช้ความร้อนเป็นตัวช่วยยึดสีให้ติดแน่นบนพลอย แต่พอเขาสังเกตเห็นว่าสีไม่ได้อยู่แค่บนผิว แต่ว่ามันล้ำลึกเข้าไปในพลอยเนื้อพลอยอีกด้วย ก็เลยต้องหันไปบัญญัติคำศัพท์อีกคำขึ้นมาใหม่ว่า “การย้อมสีทั้งก้อน” (Bulk Diffusion) เป็นศัพท์ทางวิชาการสร้างความสับสนหวาดระแวงให้กับวงการค้าเป็นอย่างมาก ราวกับว่านำสีจากแหล่งภายนอกให้ซึมแทรกเข้าไปในเนื้อพลอยในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นการย้อมสี หรือว่า ซ่านสีตามที่กล่าวอ้าง กล่าวหาแต่อย่างใด การเห็นสีในลักษณะแยกเป็นชั้นๆลึกเข้าไปในเนื้อพลอยไม่ได้หมายถึงการอัดสีเข้าไปในพลอยตามที่กล่าว ความจริงสีนั่นเกิดในตัวพลอยเอง เพียงว่ามันเกิดจากการเผาที่ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามขบวนการ เพราะว่าถูกทำให้หยุดกระทันหันหรือสะดุดลงกลางคัน ลักษณะสีที่ไม่พัฒนาเต็มทั่วเม็ดพลอยนั้น เรามีคำอธิบายดังต่อไปนี้ครับ
การทำงานของเตาเผาพลอยเป็นลักษณะของการ”แพร่ความร้อน”หรือ”การนำความร้อน”ในอดีตเราใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ในปัจจุบันนี้เราใช้เตาไฟฟ้าทันสมัย ที่ติดตั้งขดลวดนำความร้อนสำหรับเพิ่มอุณหภูมิให้กับเตา มีแผงอีเล็กโทรนิกบอกอุณหภูมิอัตโนมัติแบบดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นเตาแบบไหนการให้ความร้อนกับวัตถุใดๆความร้อนมันแพร่หรือเคลื่อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในวัตถุ การนำพาความร้อนแบบนี้ภาษาวิชาการเรียกว่าแบบ “Conviction” และการที่ความร้อนค่อยๆผ่านเข้าไปในวัตถุจากนอกสู่ภายในนี่เองทำให้เกิดพัฒนาการของสี พลอยจะสังเคราะห์สีขึ้นมาเอง แบบค่อยเป็นค่อยไป ตามลำดับอย่างช้าๆ จากด้านนอกที่รับความร้อนก่อนสู่แกนกลางด้านใน การหยุดความร้อนอย่างทันทีทันใดหรือ การดับไฟอย่างกะทันหัน ในขณะที่ขบวนการปรับคุณภาพยังไม่สิ้นสุด ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ พัฒนาการของสีพลอยนั้นก็สะดุดชะงักอยู่กลางคัน แน่นอนว่าสีจะไม่สม่ำเสมอ สีไม่กระจายไปทั่วทั้งเม็ดพลอยเพราะถูกขัดจังหวะเสียก่อน บริเวณพลอยที่ไม่ได้ความร้อนเพียงพอก็จะไม่มีสีเกิดขึ้น (เกิดจุดบอดสีแกนกลางพลอย) หรือปรับตัวของสีไม่สมบูรณ์ (เกิดจุดต่างสีที่แกนกลางพลอย) ลักษณะของสีพลอยที่กระจายไม่เต็มเม็ดพลอยนี่แหละได้ทำความเสียหายให้กับวงการอัญมณีไทยอย่างใหญ่หลวง เพราะมันไปเข้าทางของพวกพ่อค้าชาวต่างชาติที่เสียผลประโยชน์ที่คอยจับจ้องถล่มราคาพลอยไทยอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพ่อค้าต่างชาติที่ได้สต็อกพลอยดิบโดยสีพัดพารัดชาซึ่งต้นทุนสูงเอาไว้จำนวนมาก ทำให้เขาไม่สามารถแข่งขันราคากับตลาดพลอยไทย ผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการมณีในต่างประเทศพวกนี้สามารถร่วมมือกับนักวิชาการบางสถาบันออกบทความมาวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวหาพลอยไทยที่เผาด้วย Beว่าเป็น”พลอยซ่านสีแบบหนึ่ง” เพียงเพราะว่าไปสังเกตเอาสีที่ปรากฏอยู่เฉพาะที่ขอบพลอย (ดูตามภาพด้านล่างนี้ #5)ถ้าดูตามภาพที่แสดง คนที่ไม่ทราบที่มาที่ไปของมันก็อาจเข้าใจผิดไปว่าชั้นสีนั้นมาจากข้างนอกและประกอบกับบทความของฝรั่ง( ที่บิดเบือน )ด้วย ก็จะเข้าใจผิดไปเลย ในความเป็นจริงแล้วพลอยที่ผ่านขบวนการจนเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ตามปรกติจะไม่ปรากฏลักษณะดังกล่าวแต่อย่างใด
(#7) ภาพตัดขวางแสดงพัฒนาการสีทีไม่สมบูรณ์ ทำให้เห็นการแยกชั้นสีตรงขอบพลอย
( ภาพตัดขวางแสดงพัฒนาการสีทีไม่สมบูรณ์ ทำให้เห็นการแยกชั้นสีตรงขอบพลอย)
การวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการด้วยบทความต่างๆ การออกคำเตือนให้วงการค้าระมัดระวังหลีกเลี่ยงการซื้อพลอยที่เผาด้วยBe ประกอบกับการออกใบรายงานผลแล็ป(Lab report) ด้วยการระบุคำ “Bulk Diffusion” หรือ “Lattice Diffusion” เปรียบเสมือนการตีตราจองจำพลอยไทยเอาไว้ การโจมตีของสถาบันต่างประเทศแห่งนี้ได้ส่งผลให้ราคาพลอยไทยตกต่ำเกินความเป็นจริง ผลประโยชน์ไปตกกับชาวต่างชาติที่เข้ามาหาชื้อไปเอาไปในราคาแสนถูก ปัจจุบันพลอยไทยก็ยังขายได้ดีเป็นที่ต้องการในตลาดโลกเพราะว่ามีการยอมรับจากผู้บริโภค ในที่สุดกาลเวลาได้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสินค้ามีคุณภาพสูง ดีทั้งคุณสมบัติของเนื้อพลอยและฝีมือการเจียรนัย แต่ทว่าเรากลับขายไม่ได้ราคาเท่าควรจะเป็นครับ อะไรก็ไม่น่าเสียใจเท่ากับที่ปัญหาที่คนไทยก่อขึ้นเอง ทำความประมาทพลาดพลั้งให้เกิดขึ้นแล้วส่งผลกระทบต่อส่วนรวม จากการสังเกตโดยส่วนตัว คนที่ก่อปัญหาไม่ใช่เป็นคนท้องถิ่นเมืองจันท์แต่ดั้งเดิม ส่วนใหญ่เป็นคนจากภูมิภาคอื่นที่เข้าไปคลุกคลีปะปนอยู่ในวงการธุรกิจอัญมณีอย่างฉาบฉวย ปัจจุบันคนมักง่ายเหล่านี้ปิดเตาปิดกิจการ และออกจากวงการไปหมดแล้ว ส่วนคนที่ยังวนเวียนอยู่ในวงการก็ไม่มีใครยอมรับ เพราะขาดความรับผิดชอบไม่มีความน่าเชื่อถือ จึงยังไม่ประสบความสำเร็จธุรกิจ ก็หวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นอุทาหรณ์ให้คนในวงการอัญมณีช่วยกันดูแลสอดส่อง อย่าให้ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ทุกปัญหาป้องกันได้ถ้าคนในสังคมช่วยกันดูแลสอดส่อง
บทความเรื่อง Be นี้ค่อนข้างยาวสักหน่อย ต้องพยายามบรรยายให้พอเห็นภาพว่ากรรมวิธีการปรับคุณภาพมันคืออะไร มีความเป็นมายังไงด้วยภาษาง่ายๆ แต่ภาษาง่ายๆนี่แหละที่มันไม่ง่ายสำหรับผู้เขียนเพราะไม่รู้จะหลีกเลี่ยงคำศัพท์เทคนิคได้อย่างไร ครั้นจะตัดทอนออกไปมันก็จะไม่ได้ใจความ ลังเลไปๆมาๆก็จับมันใส่วงเล็บเอาไว้ซะเลย เผื่อเอาไว้ใช้เป็นคีย์เวิร์ดสำหรับแฟนคลับคนขยันไปค้นคว้าต่อ ผมเองต้องไปสืบค้นต้นตอของปัญหาจากจากการพูดคุยกับผู้คนในเมืองจันท์หลายๆท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องขอบคุณน้ำใจจาก คุณเจตธนาพัฒน์ นิโครธานนท์ หรือ “เฮียอ๊อด” เจ้าของเตาเผาพลอยเป็นอย่างสูงที่ให้ความกระจ่างข้อมูลทางด้านเทคนิค ผมต้องขอยืมหนังสืออ้างอิงมาอ่าน คอยตรวจดูอภิธานศัพท์ ครั้นจะทำแบบมั่วๆพอถูไถมันก็เขินๆอายฟ้าดิน ผมก็อยากให้คนไทยรู้เรื่องเกี่ยวกับอัญมณีในหลายๆมิตินี่ครับ ได้เข้าใจถึงปัญหาในวงการอัญมณี ได้เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการให้คนไทยมีความภูมิใจในทรัพยากรที่เรามี ให้สนใจพลอยไทยมากขึ้นและหันมาสนับสนุนอัญมณีจากฝีมือคนไทยด้วยกันครับ
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์ (FGA)
27 ตุลาคม 2561
ในปี 2001 คนไทยที่เข้าไปหาซื้อพลอยในประเทศมาดากัสการ์มาเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอัญมณีได้นำพลอยแซฟไฟร์หลากหลายชนิด มาเจียรนัยในจังหวัดจันทบุรี พลอยแซฟไฟร์สีชมพูเจือม่วงจากแหล่ง Ilakakaมีสีสวยงามแปลกตากว่าแหล่งใดๆได้รับความนิยมมาก พลอยบางส่วนต้องนำมาเผาปรับปรุงเพื่อให้พลอยมีความใสสะอาดและมีสีที่ดีขึ้นก่อนนำไปเจียรนัย บังเอิญว่าในเบ้าเผาพลอยสีชมพูนั้นมีพลอยเนื้ออ่อน(ไพทูรย์-Chrysoberyl) หลุดปะปนติดเข้าไปในเบ้านั้นด้วย พลอยเนื้ออ่อนนั้นได้หลอมละลายติดไปกับพลอยแซฟไฟร์คนทำพลอยได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของสีในพลอยแซฟไฟร์ที่เปลี่ยนจากสีชมพูกลายเป็นสีส้มและสีส้มอมชมพูซึ่งสามารถขายได้ราคาดี เพราะว่าสีส้มนื้ไปพ้องกับสีพลอยพัดพารัดชาที่มีมูลค่าสูงในตลาดอัญมณี จากนั้นเป็นต้นมาก็มีการใช้ผงพลอยเนื้ออ่อน Chrysoberyl ผสมใส่ในเบ้าพลอยเนื้อแข็.เพื่อเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการเผาพลอย เรียกการเผาที่ค้นพบใหม่ว่า “เผาแบบเบริลเลี่ยม”เทคนิคนี้เกิดจากความบังเอิญโดยแท้ เป็นความบังเอิญที่มาประกอบเข้ากับความช่างสังเกตุของช่างทำพลอย กลายเป็น “ภูมิปัญญา”ดังนั้นผู้บุกเบิกรายแรกที่ค้นพบกรรมวิธีนี้จึงได้รับประโยชน์มหาศาล สามารถสร้างความมั่งคั่งจากการขายพลอยสีพัดพารัดชาในตลาดอัญมณี การใช้ Be ยังใช้ได้ดีในการเปลี่ยนสีแซฟไฟร์สีเขียวให้เป็นสีเหลือง ผมตั้งข้อสังเกตไว้ว่า พลอยคอรันดัมที่ตอบสนองได้ดีกับการใช้ Be เป็นตัวเร่งปฏิกิริยามักจะเป็นพลอยในลักษณะที่มีธาตุ Fe เป็นธาตุผ่านอยู่ในเนื้อพลอย เช่นกลุ่มพลอยแซฟไฟร์สีเขียว เหลือง ชมพู รวมถึงพลอยทับทิมมาจากบางแหล่งอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทับทิมจากแหล่ง Songea ประเทศแทนซาเนียที่ให้การตอบสนองดีมากอย่างน่าพอใจ ให้สีแดงออร่าที่เป็นเอกลักษณ์(Auroral Red) มีประกายเจิดจ้าสะท้อนแสงกว่าพลอยทุกแหล่ง ทับทิมจาก Songea จึงเป็นที่ต้องการของตลาดอัญมณีและขายได้ราคาสูงที่สุดในประเภทพลอยที่เผาด้วย Be
(#8) ตัวอย่างพลอยแซฟไฟร์สีชมพูจากมาดากัสการ์ผ่านการปรับคุณภาพด้วย Be ที่ให้ผลลัพธ์สีส้มอมแดง
พลอย Chrysoberyl(ไพทูรย์) มีสูตรเคมี Be Al2O4(เบริลเลี่ยมอลูมิเนี่ยมออกไซด์) มีโครงสร้างใกล้เคียงพลอย Corundum หรือว่า Al2o3 ( อลูมิเนียมออกไซด์) และความที่เป็นธาตุเบาของเบริลเลี่ยมที่มีขนาดอะตอมที่เท่ากับธาตุอะลูมิเนี่ยม แต่เบริลเลี่ยมที่มีจุดหลอมเหลวต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับอลูมิเนียม เมื่อเบริลเลียมได้รับความร้อนที่เกินเลยก็หลอมละลายและระเหิดในที่สุด ไอพลาสม่าของBeแทรกซึมไปทั่วเบ้าพลอยที่พลอยคอรันดัมนั้นยังอยู่ในสภาพของแช็งพลาสม่าของธาตุเบริลเลี่ยมสามารถเล็ดลอดเข้าไปในผลึกแร่คอรันดัมและทำปฏิกิริยากับธาตุผ่านที่มีอยู่ในคอรันดัมก่อเกิดพัฒนาการของสี กล่าวคือมันทำหน้าที่ไปเร่งให้ธาตุผ่านตัวอื่นที่มีในพลอยให้แสดงสีออกมาตามลักษณะของมันอย่างชัดเจน ทั้งๆที่ตัวเบริลเลี่ยมเองนั้นไม่ได้มีสีอะไรเลย และมันก็ไม่ได้เป็นตัวนำพาสีเข้าไปอีกด้วย การที่สถาบันในต่างประเทศได้บัญญัติคำศัพท์ “Diffusion” ที่หมายความว่า”ย้อมสี” มาใช้ตั้งชื่อเรียกกรรมวิธีการเผาด้วยเบริลเลี่ยมจึงไม่ถูกต้อง ไม่มีความชอบธรรมอย่างยิ่ง แม้ว่านักวิชาการไทยได้ท้วงติงไปแล้วเขาก็ไม่ยอมแก้ไขให้ ไม่ตอบรับการท้วงติงใดๆ คนไทยอย่างเราจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกเสียจากว่าพวกเขาเป็น “สถาบันที่ขาดความเที่ยงตรงเพราะแอบอิงอยู่กับผลประโยชน์” เท่านั้น
บรรณานุกรม
1.การเผาพลอยด้วยสารเบริลเลี่ยมและเทคนิคการตรวจสอบ, August 4, 2014
2. GIT LAB Review Issue 1/2009, GIT
3.Quality Eternal PloyThai, Prasong Chinudompong
4.Ruby & Sapphire Treatments and Identification, Visut Pisuthe-Arnond, 2017 (GIT)
คำกล่าวขอบคุณ
ผมขอบคุณ คุณเจตธนาพัฒน์ นิโครธานนท์ หรือ”เฮียอ๊อด”เมืองจันท์” กรุณาให้ข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับการปรับคุณภาพอัญมณีด้วยความร้อนอย่างละเอียด และยังอดทนต่อการซักถามจู้จี้ของผู้เขียน ขอขอบคุณมายัง พี่ประนอม ปัญจะ ที่ช่วยชี้แนะการสังเกตุเชื้อสีในพลอยดิบ เอื้อเฟื้อข้อมูล รูปภาพพร้อมตัวอย่างพลอยต่างๆให้ผู้เขียนได้ชมและศึกษาครับ
(
คลีนิกอัญมณี
"คลีนิกอัญมณี" เป็นคอลั่มน์รวมบทความต่างๆทางอัญมณีศาตร์ ทั้งที่เกี่ยวกับแวดวงการค้าอัญมณี และในเชิงวิชาการของการตรวจวิเคราะห์พลอยประเภทต่างๆในห้องแลบ ยังรวมไปถึงเรื่องราวอัญมณีที่อยู่ในกระแสความสนใจซึ่งอาจมาจากคำถามที่พบบ่อยเป็นต้น บทความที่ผมเขียนขึ้นจะถูกรวบรวมไว้ในที่นี้ ท่านสามารถติดตามบทความใหม่ของเราที่จะนำเสนอเป็นระยะๆ รวมถึ่งการอ่านเรื่องย้อนหลังได่อีกด้วย
วัฒน์
(หมอพลอย)
หน้าที่เข้าชม | 368,250 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 271,001 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ก.พ. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 20 ส.ค. 2568 |
ติดต่อสอบถาม
โทรศัพท์: 081-8102763
LINE ID: siriwat28
siriwat.jiamanusorn@gmail
Fanpage: @jwlab.gem