กรรมวิธีปรับคุณภาพอัญมณีด้วยความร้อนแบบต่างๆ
การปรับคุณภาพพลอยด้วยการใช้ความร้อน (Enhancement through heating) คือการจำลองหรือเลียนแบบธรรมชาติของขบวนการทางธรณีวิทยา ที่เกี่ยวข้องกับความร้อนและความกดดันใต้พื้นพิภพ การจำลองเงื่อนไขของอุณหภูมิและความกดดันสำหรับใช้ปรับคุณภาพในอัญมณี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับอัญมณีที่ผ่านการกระทำทางธรณี เช่นภูเขาไฟ น้ำพุร้อน แรงอัดตัวของแผ่นทวีป การแพร่ของหินหนืด ฯลฯ ที่ทำให้หินและแร่ธาตุเกิด”การแปรสภาพ”ในลักษณะต่างๆ (Metamorphic) ภาษาท้องถิ่นเราเรียกการปรับคุณภาพพลอยด้วยภาษาง่ายๆว่า”การเผาพลอย” หรือ”หุงพลอย” คือการนำพลอยวัตถุดิบไปผ่านความร้อนเพื่อปรับปรุงสีและความใสสะอาดของพลอย หลักการที่สำคัญในการเผาพลอยก็คือว่า ”อุณหภูมิที่ใช้นั้นจะต้องอยู่ห่างจากจุดหลอมเหลวของพลอยชนิดนั้นเสมอ” เพียงให้ผ่านความร้อนแต่ต้องไม่หลอมละลายเป็นหลักการสำคัญ เพื่อป้องกันมิให้พลอยเกิดความเสียหาย พลอยที่สามารถปรับคุณภาพด้วยความร้อนจึงต้องมีคุณสมบัติพิเศษทนความร้อนได้ดี กล่าวคือมันต้องมีจุดหลอมเหลวที่สูงมากกว่าพลอยชนิดอื่นๆ พลอยตระกูลคอรันดัมหรือที่คนไทยเราเรียกกันว่า”พลอยเนื้อแข็ง”(ทับทิม ไพลิน เขียวส่อง บุษราคัม…) มีคุณสมบัติสามารถทนทานความร้อนได้ดีเยี่ยม และอีกประเด็นที่สำคัญที่สุดประเด็นหนึ่งซึ่งถือเป็นหัวใจของการเผาพลอย นั้นก็คือว่าพลอยนั้นจะต้องมีเชื้อสีอยู่ตามธรรมชาติในพลอยด้วย (Chromophoric Trace Element) จึงจะประสบความสำเร็จได้ การดูว่าพลอยมีเชื้อสีหรือไม่มีนั้นเกิดจากความช่างสังเกตุ ที่สั่งสมเป็นประสบการณ์ของช่างเผาพลอย ด้วยความความชำนาญ ช่างทำพลอยจะสามารถคัดพลอยแยกแยะประเภทที่มีเชื้อสีคล้ายๆกันก่อนลงมือเผา
(#1)การสัมผัสกับหินหนืด (Magma)ที่ดันเปลือกขึ้นมาส่งผลให้หินและแร่ธาตุต่างๆเกิดการแปรสภาพ
การใช้ความร้อนเพื่อปรับปรุงพลอยเป็นการจำลองธรรมชาติทางธรณีวิทยา อันเกิดจากความช่างสังเกตุและการชอบทดลอง จนสั่งสมเป็นความชำนาญ เป็นกลายศาสตร์วิชาที่ตกทอดสืบต่อกันมาเป็นสมบัติแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น เตาเผาประเภทต่างๆนั้นก็เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ย่นเวลาทางธรณีวิทยา (Time Machine)
(#2) ธาตุผ่านภายในพลอยที่ทำให้เกิดสีต่างๆตามธรรมชาติ
ในบทความผมจะกล่าวถึงเฉพาะพลอยเนื้อแข็งเท่านั้น ด้วยเหตุผลคือพลอยคอรันดัมนี้เป็นพลอยท้องถิ่นที่มีในประเทศไทยมาแต่ดั้งเดิมซึ่งคนไทยมีความคุ้นเคย คนไทยยังมีความชำนาญในการเผาพลอยเนื้อแข็งอย่างที่ไม่มีชาติใดเทียบได้ กรรมวิธีเผาพลอยได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนเป็นมรดกทางภูมิปัญญา ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีชื่อเสียงระดับโลกในการปรับคุณภาพพลอยด้วยความร้อน วัตถุดิบจากประเทศต่างๆทั่วโลกได้ถูกส่งมาปรับปรุงคุณภาพและเจียรนัยในประเทศไทย
(ก)เผาธรรมดา/แบบสามัญ (Common Heat Treatment)
การเผาพลอยแบบธรรมดาใช้เพื่อจุดประสงค์ดังนี้ 1.เผาปรับตำแหน่งของสี 2.เผาเร่งพัฒนาการของสี 3.เผาลดตำหนิเพื่อให้พลอยให้ใสสะอาด ด้วยการใช้ความร้อนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การเผาแบบต่างๆนี้มันขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่เราจะเลือกใช้ และเลือกเผาภายใต้ภาวะมีออกซิเจนหรือไร้ออกซิเจน รวมไปถึงรายละเอียดหรือเทคนิคในการเพิ่มลดอุณหภูมิ และระยะเวลาที่ใช้ในการเผา สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดให้ได้ผลแตกต่างกันไปดังต่อไปนี้
1.การเผาปรับตำแหน่งสี: เผาเพื่อปรับตำแหน่งสี (ช่างทำพลอยเรียกว่าการ”อบพลอย”) ด้วยอุณหภูมิต่ำ(Low Temperature Heating ) ให้ได้ตามต้องการดังต่อไปนี้
1.1 ลดสีน้ำเงิน: ใช้สำหรับปรับลดหรือกำจัดสีน้ำเงินในแซฟไฟร์ที่มีสีน้ำเงินเข้มให้สีอ่อนลง ลดทอนสีน้ำเงินในทับทิมที่มีสีอมม่วง ลดทอนสีน้ำเงินในบุษราคัมที่มีสีเหลืองอมเขียว ทำให้พลอยนั้นๆได้ตำแหน่งสีตรงตามที่เราต้องการ
หลักการ: เผาพลอยที่อุณหภูมิ 800o-1200oc ในภาวะที่มีออกซิเจน
(#3) การปรับทดทอนสีม่วงในพลอยสีชมพู (GIT)
1.2ลดสีน้ำตาล:ใช้สำหรับกำจัดสีน้ำตาลในทับทิมไทย เพื่อให้พลอยมีสีแดงสด
หลักการ: เผาพลอยที่อุณหภูมิ 800o-1900ocในภาวะมีออกซิเจน
การเผาหรืออบพลอยเพื่อปรับหรือจัดการตำแหน่งสีจะใช้ความร้อนที่อุณหภูมิที่ไม่สูงมาก หากอุณหภูมินั้นไม่เกิน 1200o C ก็จะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆให้สังเกตุได้ ทางห้องปฏิบัติจะระบุผลการตรวจเช็คเพียงว่า “ไม่พบข้อบ่งบอกของการปรับคุณภาพด้วยความร้อน” (No Indication of Heating) ราคาพลอยที่ผ่านกรรมวิธีนี้แทบไม่แตกต่างจากพลอยที่ไม่ผ่านการเผา (พลอยดิบ)
2.การเผาเร่งพัฒนาการของสี:ใช้สำหรับทำให้พลอยไร้สีหรือพลอยสีอ่อนที่มีเชื้อสีอยู่แล้วตามธรรมชาติให้สามารถแสดงสีออกมาอย่างชัดเจนเต็มที่ ด้วยการใช้อุณหภูมิสูงในการเร่งสีให้เกิด
2.1 การเผาพลอยกิวดา(คอรันดัมที่ไม่มีสีหรือมีสีจาง)จากศรีลังกา จากพลอยที่ไร้สีหรือมีสีอ่อนให้แสดงสีน้ำเงินออกมาอย่างชัดเจน และเผาพลอยบุษราคัมสีเหลืองซีดจากศรีลังกาให้มีสีเหลืองเพิ่มขึ้น
หลักการ: เผาพลอยที่อุณหภูมิ1600o-1900o,cในสภาวะที่ไร้ออกซิเจน
2.2เผาพลอยขาวไร้สี บุษราคัมสีเหลืองอ่อนๆจากประเทศศรีลังกาให้มีสีเหลืองเข้ม เหลืองอมน้ำตาล และจากพลอยสีชมพูให้ได้สีส้ม
หลักการ:เผาพลอยที่ 1600o-1900oc ในสภาวะที่มีออกซิเจน
(#4)การเร่งพัฒนาการของสีพลอยกิวดาจากศรีลังกา (GIT)
3.การเผาปรับความใส:สำหรับพลอยเนื้อขุ่นที่มีสาเหตุจากการปรากฏของเส้นใยแร่รูไทล์ (เส้นไหม เส้นเข็ม) จำนวนมากในเนื้อพลอย เราสามารถทำเส้นใยแร่รูไทล์สลายไปด้วยความร้อนอุณหภูมิสูง
หลักการ:เผาพลอยที่อุณหภูมิสูง 1000-1900oc แล้วรีบทำให้พลอยเย็นลงตัวอย่างรวดเร็วเพื่อทำการยับยั้งมิให้เส้นใยแร่รูไทล์ก่อตัวขึ้นมาใหม่ เนื้อพลอยจะใสขึ้นมา กรรมวิธีนี้มักใช้กับพลอยจากศรีลังกาหรือพม่า
เนื่องจากการเผาแบบที่ 2และ 3 ต้องใช้อุณหภูมิที่สูงกว่าแบบที่ 1 ดังนั้นจะสังเกตุเห็นร่องรอยความเปลี่ยนของสภาพผลึกแร่ เส้นไหมรูไทล์ ฯลฯ ที่อยู่ภายในเนื้อพลอย แต่ถ้าบังเอิญว่าพลอยนั้นไม่มีตำหนิใดๆ (เนื่องจากว่าพลอยนั้นสะอาดมาก) มันก็ปราศจากข้อบ่งบอกว่าของการเผา
(#5) ภาพเส้นใย Rutile เมื่อเผาแล้วสลายตัวจนดูคล้ายอนุภาคฝุ่นจางๆแต่ยังเห็นเป็นรูปร่างที่ตัดไขว้กันที่60o
(#6) ภาพผลึกใสก่อนเผา(ซ้าย) ที่กลายสภาพเป็นขุ่นขาวและขยายตัว(ขวา)หลังผ่านความร้อน
การใช้อุปกรณ์อย่างแว่นขยายเพียงสิบเท่า (10x) สองดูเนื้อพลอยเราก็สามารถแยกพลอยดิบจากพลอยเผาได้อย่างไม่ยาก
(ข)เผาอ๊อกซ์/เผาเก่า(Oxy Heating/Welded Heating)
คือการเผาพลอยคอรันดัมที่มีรอยร้าวเพียงตื้นๆที่บริเวณพื้นผิว เพื่อควบคุมมิให้รอยร้าวนั้นขยายตัวเมื่อโดนความร้อน จึงมีการเติมสาร Flux ใส่ในเบ้าพลอย และยังช่วยให้รอยร้าวเหล่านั้นปิดลงถาวร การเผาจะใช้อุณหภูมิ 1200oc
หลักการ: นำพลอยใส่เบ้าแล้วเติมผงฟลักซ์ลงในเบ้า นำไปเผาปรับสีปรับความใสสะอาดตามหลักการเผาพลอยปรกติธรรมดา “ฟลักซ์”หรือที่เรารู้จักในชื่อ “น้ำประสานทอง” เป็นตัวนำความร้อนที่ดีมากช่วยประหยัดเวลาในการเพิ่มอุณหภูมิให้กับตัวเบ้า และเนื่องจากตัวมันเองมีสุดหลอมเหลวที่ต่ำเมื่อมันแทรกเข้าในรอยร้าวจะทำให้เนื้อพลอยที่มันสัมผัสหลอมประสานตัวกัน สารนี้ถ้าไม่ตกค้างเราจะไม่เห็นร่องรอยอะไรเลย แต่ถ้าทำอย่างไม่ประณีตจะเห็นคราบฟลักซ์ขังอยู่ในเนื้อพลอยตัดกับสีพื้นหลัง คราบตกค้างในลักษณะนี้เราเรียก “ลายไทย” พลอยที่ประสานรอยร้าวมีความทนทานดีและเป็นที่ยอมรับมาอย่างช้านานจากนาๆประเทศ
(#7) ลัษณะพลอยลายไทย (GiT)
เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการใช้สารเคมี(ช่างทำพลอยเรียกว่าน้ำยา) เข้ามาช่วยในขบวนการเผาพลอย เลยเรียกว่าสูตรแรกหรือสูตรเก่า อันเป็นที่มาของคำ “เผาเก่า” เพื่อให้แตกต่างไปจากเทคนิคใหม่ล่าสุดที่มีการใช้วัสดุประเภทแก้วผสมตะกั่วและอาจผสมสีเข้าในการอุดรอยแตก ร่องลึก เพื่อเคลือบพลอยเนื้อพรุนให้ดูใส เป็นเทคนิคที่ใช้เฉพาะกับพลอยคุณภาพต่ำจากแอฟริกา ซึ่งเทคนิคที่ใช้แก้วเคลือบพลอยคุณภาพต่ำนี้เราเรียกกันว่า “เผาใหม่”
“เผาเก่า” และ”เผาใหม่” ศัพท์ทั้งสองมีความสำคัญนะครับ ห้ามสับสนปนเปกันเด็ดขาดเพราะแต่ละเทคนิคนั้นต่างกันและมีผลต่อราคาพลอย
(ค)กรรมวิธี”เผาใหม่”/เผาเคลือบแก้วตะกั่ว/เผาอุดร่องแตก/เผา Ph
(Fracture filling with lead glass)
เป็นการปรับคุณภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการเผาพลอยแบบปรกติ ให้สังเกตว่าคำศัพท์สากลไม่มีคำว่า “Heating “ อยู่เลย เทคนิคนี้แท้จริงแล้วมิใช่การเผาพลอยนะครับ หากเป็นเพียงวิธีการหลอมแก้วเพื่อให้แทรกซึมเข้าสู่ร่องแตกในพลอยสำหรับปกปิดรอยแตกต่างๆเท่านั้น ความร้อนมิได้มีผลต่อระดับโมเลกุล หรืออะตอมธาตุของพลอยที่มีผลก่อพัฒนาการของสีแต่อย่างใด ดังนั้นในกรรมวิธีจึงอาจมีการเติมสีลงในแก้วที่ใช้เคลือบด้วยเพื่อให้สีพลอยดูดีขึ้น สิ่งที่ได้คือการปรับปรุงความใสของเนื้อพลอยเท่านั้น ซึ่งความใสนั้นเกิดจากการแทรกตัวของเนื้อแก้วเข้าไปในรอยแตกจึงทำให้ความขุ่นทึบนั้นบรรเทาลงไป เนื้อพลอยจึงดูใสชึ้นมา
เทคนิคนี้ใช้กับพลอยคุณภาพต่ำจากแอฟริกาที่เต็มไปด้วยรอยแตก ซึ่งลักษณะแตกนั้นเป็นร่องลึกเข้าไปพลอยที่เราไม่สามารถแก้ไขด้วยกรรมวิธีปรกติ
(#8) พลอยทับทิมคุณภาพต่ำสำหรับนำไปปรับปรุงผ่านกรรมวิธี”เผาใหม่” (Photo by W. Manorotkul )
กรรมวิธีประกอบด้วยสองขั้นตอนดังนี้
การเตรียมพลอย: ทำการล้างพลอย แล้วนำพลอยไปแช่ในน้ำกรด (ซัลฟลูลิกเข้มข้น) เพื่อขจัดเศษดิน คราบสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ตามร่องแตก ให้หลุดออกไป
การเคลือบและอุดด้วยแก้ว:นำพลอยที่ทำความสะอาดด้วยกรดแล้วมาใส่เบ้า และเติมแก้วชนิดที่มีดัชนีหักแสงสูง (ผสมสารตะกั่ว) ลงไปในเบ้า นำเข้าเตาเผาที่อุณหภูมิ 800Oc เป็นเวลา3 -4 ชั่งโมง แล้วนำพลอยออกจากเตาขณะยังร้อนอยู่มาเทใส่ถาด แล้วรีบเกลื่ยเม็ดพลอยให้กระจายแยกออกจากกันก่อนที่พลอยและวัสดุแก้วนั้นจะเย็นตัวลง เพื่อป้องกันมิให้เม็ดพลอยเกาะติดกันเป็นก้อน หลังจากผึ่งให้พลอยเย็นตัวแล้ว ก็นำไปเจียรนัยได้
ปัจจุบันการอุดเคลือบรอยแตกด้วยแก้วตะกั่วถูกนำมาใช้อย่างขว้างขวางกับพลอยคอรันดัมทุกสี ทั้งพลอยเจียรนัยเหลี่ยมและพลอยหลังเบี้ย รวมไปถึงพลอยสตาร์ทุกชนิดอีกด้วย ทำให้พลอยแต่เดิมที่เคยถูกคัดทิ้งเนื่องจากรอยแตกร้าวสามารถสร้างมูลค่าในเชิงพาณีชย์ได้ และวงการอุตสาหกรรมอัญมณีมีวัตถุดิบทางเลือกเพิ่มขึ้น
การตรวจเช็คอย่างคร่าวๆด้วยตนเอง คือให้เล็งดูที่ผิวพลอยที่สะท้อนกับแสงไฟจะสังเกตเห็นผิวพลอยในบริเวณต่างๆมีความมันวาวไม่เหมือนกัน คือบางส่วนวาวมากแบบพลอยปรกติแต่บางส่วนกลับดูด้านๆ คือมีผิววาวสลับกับด้าน หรือมองโดยรวมๆที่ผิวพลอยมันละม้ายกับมีรอยแปรงทาสี บางที่ดูคล้ายกับเส้นลากไขว้ไปมาแบบตาข่าย นั่นเกิดจากการขัดเงาที่ไม่สมบูรณ์ของวัสดุสองชนิดที่มีความหนาแน่นไม่เท่ากัน เมื่อมองลึกเข้าไปในพลอยเรายังจะเห็นฟองอากาศ (อาจใช้แว่นขยายช่วย) กรณีย์พลอยทึบแสงประเภทหลังเบี้ยให้ใช้แสงส่องสะท้อนที่ผิวพลอยสังเกตุบริเวณที่มีความวาวแตกต่างกัน หากยังไม่แน่ใจก็ให้ส่งไปตรวจที่ห้องแล็บเสียเลย การตรวจในห้องปฏิบัติการอัญมณีเขาใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจ จะเห็นเนื้อแก้วแยกตัวแตกต่างจากเนื้อพลอย และในพลอยบางเม็ดเราอาจพบเนื้อแก้วในปริมาณสัดส่วนที่พอๆกับเนื้อพลอยเลยทีเดียว
พลอยเผาใหม่นั้นมีการนำวัตถุแปลกปลอมใส่ข้าสู่ตัวพลอยในปริมาณสูง ห้องปฏิบัติการตรวจอัญมณีที่ได้มาตรฐานนั้น จะไม่ยินยอมออกใบรับรองความเป็นพลอยธรรมชาติให้กับพลอยที่ผ่านการปรับคุณภาพด้วยกรรมวิธีนี้
(#9) ภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังการการเคลือบอุดรอยแตก
(#10)ทับทิมเผาใหม่(หรือ Lead Glass Filled Ruby)
(11)พลอยสตาร์แซฟไฟร์เผาใหม่ (Lead Glass filled Star Sapphire)
พลอยเผาใหม่นั้นให้พลอยที่ไม่เป็นธรรมชาติ จึงไม่แทบมีคุณสมบัติความคงทนของพลอยตามธรรมชาติหลงเหลืออยู่เลย ไม่มีความแข็งแรงบึกบึนต่อการใช้งาน ไม่สามารถรับแรงกระแทกใดๆ และไม่ทนทานต่อความร้อน ไม่ทนต่อสารละลายกรด-เบส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดกัดแก้ว การใช้งานจึงต้องมีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ข้อดีก็คือเป็นพลอยที่มีความสวยงามในราคาที่จับต้องได้
(จ) เผาเคลือบสี (Diffusion Heating)
Diffusion คือศัพท์วิชาการที่หมายถึง กรรมวิธีการปรับปรุงสีพลอยและคุณสมบัติทางจักษุโดยใช้สีจากแหล่งนอก คนไทยเรียกกรรมวิธีว่า”การซ่านสีพลอย” คือการเคลือบสีที่ผิวพลอย โดยมีความร้อนเป็นตัวช่วยให้สีนั้นติดแน่นอยู่กับพลอย การเคลือบจะใช้ผงอลูมิเนี่ยมออกไซด์ (วัสดุเดียวกับเนื้อพลอยนั่นเอง) เป็นตัวยึดสีให้ติดกับพลอยมาผสมกับสารให้สีต่างๆ แล้วทาเคลือบบนพลอยที่เจียรนัยเรียบร้อยแล้วก่อนนำไปเผา การทำ Diffusion กับพลอยมีอยู่สองสักษณะ
1.การเคลือบให้เกิดสีที่ผิวพลอย นำผงอลูมิเนี่ยมออกไซด์ผสมสารให้สีที่ต้องการแล้วทาเคลือบพลอยที่เจียรนัยแล้วก่อนนำไปเผา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการสีน้ำเงินก็ใช้ไทแทเนี่ยมและเหล็กผสมกัน ส่วนสีแดงก็ใช้โครเมี่ยมผสมลงไป จากนั้นนำไปเผาที่อุณหภูมิสูงระดับ 1,600-1,850oC สีเคลือบก็จะติดอย่างถาวรบนผิวพลอย
2.การเคลือบให้มีสตาร์ที่ผิวพลอย นำผงอลูมิเนี่ยมออกไซด์ผสมสารที่ทำให้เกิดสตาร์ (คือธาตุไทแทเนี่ยมในปริมาณสัดส่วนที่สูง) มาทาเคลือบที่ผิวพลอยที่เจียรนัยแล้ว จากนั้นนำไปเผาที่อุณหภูมิสูงระดับ 1,600-1,850oC เพื่อให้สีเคลือบและสตาร์ติดถาวรอยู่ที่ผิวพลอยนั้น
สีและสตาร์ที่ผิวพลอยนั้นแทรกตัวเข้าไปในเนื้อพลอยในระดับตื้นๆ เพียงเศษเสี้ยวของมิลลิเมตรเท่านั้น เมื่อนำพลอยไปเจียรนัยขัดผิวสีและสตาร์ก็จะหายไป หรือว่าใช้งานไปนานๆเนื้อสีอาจสึกกร่อนไปตามอายุการใช้งาน
(#12)ภาพพลอยจุ่มในน้ำยา Methylene Iodide ทำให้เห็นชั้นสีเกาะตัวอยู่ที่ผิวพลอย (GIT)
การตรวจเช็คพลอยซ่านสีทำได้ง่ายๆโดยการจุมพลอยลงในน้ำ ถ้าทำในห้องปฏิบัติการเขาก็นำพลอยจุ่มในน้ำยา Methylene Iodide เราจะสังเกตุเห็นสีเกาะตัวอยู่เฉพาะที่ผิวด้านนอก และสีตรงสันเหลี่ยมจะหนากว่าทำให้เห็นโครงเหลี่ยมพลอย ภาษาวิชาการเรียกว่า” Spider Web Effect” ที่เหมือนกับใยแมงมุม
(#13)ภาพพลอยที่หั่นสไลด์เป็นแผ่นบางทำเราให้เห็นชั้นสีที่เกาะตัวอยู่ที่ขอบผิวด้านนอกเท่านั้น (GIT)
(#14) ภาพแสดงสีที่ขังอยู่ตามรอยแตกที่ผิวพลอย (GIT)
ส่วนการตรวจสตาร์ที่เคลือบบนผิวพลอย (Diffused Star)ในเบื้องตนให้สังเกตุจากลักษณะสตาร์ที่ผิดจากลักษณะธรรมชาติ สตาร์ที่ลอยอยู่บนผิว ไม่ได้ออกมาจากเนื้อพลอยด้านใน ขาสตาร์มีความคมชัดเกินจริง ขาเรียวบางและเหยียดตรงจรดขอบพลอย คล้ายกับนำสตาร์มาวางไว้บนพลอย เมื่อส่องดูด้วยแว่นขยายเนื้อพลอยด้านในไม่ปรากฏเส้นไหมที่ตัดกันเป็นมุม 60o พลอยเคลือบสตาร์มักมีรูปร่างสมมาตร ได้สัดส่วนสมบูรณ์แบบตามอุดมคติ ซึ่งพลอยธรรมชาติมักไม่ได้สัดส่วนเนื่องจากการเจียรนัยต้องคำนึงถึงการรักษาน้ำหนักเนื้อพลอย
(#15) ภาพเปรียบเทียบระหว่างสตาร์ธรรมชาติและสตาร์ที่มาจากการเคลือบ
ท้ายบท
การเผาพลอยที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นการเผาพลอยแบบพื้นฐานสามัญที่เราพบได้บ่อยๆในตลาดอัญมณี คราวต่อไปผมจะเสนอบทความเกี่ยวกับการเผาพลอยที่เป็นนวัตกรรมเทคนิคระดับสูง (Advanced Technique) ทรงประสิทธิภาพในการปรับตำแหน่งสีพลอยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นที่น่ายินดีว่านวัตกรรมนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยและเป็นสมบัติทางภูมิปัญญาของคนไทย เทคนิคนี้สามารถแก้ไขสีพลอยถึงในระดับอะตอมทีเดียว ทั้งๆที่พลอยนั้นยังคงสภาพอยู่เหนือจุดหลอมเหลว เทคนิคที่ชาวต่างชาติพยายามขัดขวางกีดกันเนื่องจากเสียผลประโยชน์ทางค้า สถาบันในต่างประเทศได้กำหนดคำนิยามที่บิดเบือนและเผยแพร่ข่าวสารที่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดจากความเป็นจริง ช่างน่าเสียดายที่กรรมวิธีนั้นไม่สามารถไปสู่การจดสิทธิบัตรทั้งๆที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น บทความในคราวหน้าจะยาวและมีรายละเอียดค่อนข้างมาก แล้วคอยติดตามบทความในคราวต่อไปครับ
8 กันยายน 2561
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์ (FGA)
คลีนิกอัญมณี
"คลีนิกอัญมณี" เป็นคอลั่มน์รวมบทความต่างๆทางอัญมณีศาตร์ ทั้งที่เกี่ยวกับแวดวงการค้าอัญมณี และในเชิงวิชาการของการตรวจวิเคราะห์พลอยประเภทต่างๆในห้องแลบ ยังรวมไปถึงเรื่องราวอัญมณีที่อยู่ในกระแสความสนใจซึ่งอาจมาจากคำถามที่พบบ่อยเป็นต้น บทความที่ผมเขียนขึ้นจะถูกรวบรวมไว้ในที่นี้ ท่านสามารถติดตามบทความใหม่ของเราที่จะนำเสนอเป็นระยะๆ รวมถึ่งการอ่านเรื่องย้อนหลังได่อีกด้วย
วัฒน์
(หมอพลอย)
หน้าที่เข้าชม | 368,250 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 271,001 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ก.พ. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 20 ส.ค. 2568 |
ติดต่อสอบถาม
โทรศัพท์: 081-8102763
LINE ID: siriwat28
siriwat.jiamanusorn@gmail
Fanpage: @jwlab.gem