คำศัพท์ที่พบบ่อยในตลาดอัญมณี (ตอนที่2.)
เราพบกันอีกสำหรับการแนะนำคำศัพท์ที่ใช้เราบ่อยๆในวงการอัญมณี คราวนี้เรามาต่อกันที่หมวดคำศัพท์ที่เกี่ยวกับกรรมวิธีหรือว่าเทคนิคของการปรับปรุงคุณภาพพลอยเนื้อแข็ง หมวดนี้เป็นหัวข้อค่อนข้างใหญ่ซึ่งมีคำอธิยายที่ซับซ้อนกว่าหมวดก่อน คำศัพท์หมวดนี้จะต้องอิงกับหลักวิชาการพอสมควร และเป็นศัพท์ที่มีผลต่อการกำหนดราคาอัญมณีอีกด้วย
คำศัพท์ในหมวดนี้แต่ละคำบ่งบอกถึงกรรมวิธีต่างๆที่ใช้ในการปรับปรุงคุณภาพพลอยเนื้อแข็งโดยมีความร้อนเป็นตัวช่วย (Gem enhancement by heating) ที่คนจำนวนไม่น้อยนำไปใช้กันอย่างสับสนปนเป เพราะเป็นคำศัพท์ที่กำหนดกันขึ้นมาเองในวงการค้าไม่ได้อิงศัพท์ทางวิชาการ จึงไม่แปลกใจที่แม้แต่คนในวงการค้าอัญมณีก็อาจเข้าใจไม่ตรงกันครับ เนื้อหาบทความนี้จึงมีความสำคัญมาก ผมพยายามรวบรวมคำหลักๆที่พบได้บ่อย โดยเบื้องต้นได้สอบถามจากผู้ทำงานเกี่ยวกับการเผาพลอยโดยตรง แล้วนำมาเทียบเคียงกับคำศัพท์ทางวิชาการอีกทีหนึ่ง
คำศัพท์เกี่ยวกับการปรับคุณภาพพลอยเนื้อแข็งด้วยความร้อน
พลอยดิบ (Unheated Gems): พลอยที่ขุดมาจากธรรมชาติที่มีคุณภาพดี สามารถนำไปเจียรนัยได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพใดๆเลย พลอยดิบต้องเป็นอัญมณีที่สีสวยงาม มีความใสสะอาด กล่าวได้ว่า”สวยแต่กำเนิด” มีราคาสูงเป็นอันดับต้นๆเนื่องจากหายากที่สุด ในธรรมชาติพบได้ในปริมาณน้อย
พลอยเผา (Heated Gems): พลอยที่ปรับปรุงคุณภาพด้วยการผ่านความร้อน คำนี้มีความหมายเป็นกลางๆ ที่คลุมเอากรรมวิธีเผาพลอยทุกแบบทุกชนิดเอาไว้ ดังนั้นเราจะต้องสอบถามสืบค้นต่อไปอีกว่าพลอยนั้นเป็นพลอยจากการเผาแบบลักษณะไหน เพราะการใช้ความร้อนปรับปรุงพลอยมีหลายกรรมวิธีแตกต่างกันไปดังต่อไปนี้ และแต่ละกรรมวิธีมีล้วนผลต่อการกำหนดราคาที่แตกต่างกัน
1.พลอยเผาแบบธรรมดา/เผาแบบสามัญ (Common Heat Treatment): การนำพลอยไปอบหรือเผาด้วยความร้อนเพียงอย่างเดียวเพื่อจุดประสงค์ปรับปรุงสีให้ดีขึ้น เร่งพัฒนาการของสี และเพื่อปรับพลอยให้ใสสะอาดมากขึ้น กรณีย์ปรับสีนั้นเป็นกรรมวิธีแก้ไขปรับปรุงตำแหน่งสีในพลอยที่เราต้องการโดยใช้ความร้อนเป็นตัวช่วย ซึ่งเป็นการเลียนแบบพัฒนาการของพลอยตามธรรมชาติ ขอยกตัวอย่างการแก้ไขพลอยที่โทนสีเข้มเกินไปให้อ่อนลง ตัวอย่างเช่นปรับพลอยแซฟไฟร์สีน้ำเงินคล้ำมืดให้ดูสว่างขึ้น หรือว่าพลอยที่สีอ่อนหรือไร้สีก็สามารถเร่งพัฒนาการให้สีปรากฏชัดเจนขึ้น ยังสามารถปรับตำแหน่งสีพลอย อย่างเช่นการปรับพลอยทับทิมสีแดงอมม่วง ให้เป็นสีแดงสดเป็นต้น ส่วนการปรับปรุงความใส คือแก้ไขความขุ่นมัวของพลอยด้วยการสลายอนุภาคมลทินต่างๆ ทำให้พลอยนั้นดูสะอาดตาขึ้น ไม่ว่าทั้งการปรับสี หรือการทำให้พลอยใสขึ้น ล้วนขึ้นอยู่กับการเลือกกรรมวิธีที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่นจะต้องเลือกให้ความร้อนภายใต้ภาวะมีออกซิเจนหรือว่าใต้ภาวะสุญญากาศ กำหนดอุณหภูมิเหมาะสม และการกำหนดระยะเวลาอีกด้วย ซึ่งมีรายละเอียดอยู่มากมาย
ขบวนการปรับปรุงคุณภาพพลอยโดยการใช้ความร้อน ให้ผลลัพธ์สีพลอยที่คงสภาพถาวร ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังมีคุณสมบัติความแข็ง ความคงทนดั่งธรรมชาติทุกประการ ดังนั้นการใช้งานและดูแลรักษาพลอยที่ผ่านการเผาจึงเราให้ปฏิบัติเหมือนพลอยธรรมชาติทุกประการ
2.เผาอ๊อกซ์/เผาเก่า: Oxy-healing/welded heating คือการปรับคุณภาพสีพลอยและความใสในพลอยด้วยความร้อน แต่ถ้าหากว่าพลอยที่นำมาปรับคุณภาพนั้นเป็นพลอยที่มีตำหนิรอยราวตื้นๆที่ผิวพลอย ถ้าโดนความร้อนไปนานๆอาจขยายตัวทำให้พลอยแตก จึงมีการผสมน้ำประสานทอง(สาร Flux) เพื่อคุมรอยร้าวเหล่านี้ไม่ให้ขยายตัวต่อไป Flux ทำหน้าช่วยให้อุณหภูมิจุดหลอมเหลวลดต่ำลง มีผลให้ประหยัดเวลาในการเพิ่มอุณหภูมิในเบ้า และสาร Flux ที่แทรกตัวเข้าในรอยร้าวทำให้เนื้อพลอยหลอมเชื่อมติดกัน จึงประสานปิดรอยร้าวไปอย่างถาวร แต่ก็อาจมีสาร Flux ตกค้างขังอยู่ (Flux Residue)ภายในรอยประสานเหล่านี้ให้มองเห็นได้ เรียกกันว่า “พลอยลายไทย”
เทคนิคนี้ใช้ในการปรับปรุงทับทิมไทยที่มีรอยร้าว เราเรียกว่า “แดงลายไทย” ต่อมาเมื่อทับทิมจากจังหวัดตราดได้หมดลง กรรมวิธีนี้ก็ถูกนำไปใช้เผาทับทิม”ม่องซู” จากประเทศเมียนมาร์ รวมถึงใช้กับพลอยแซฟไฟร์สีอื่นๆด้วย และเนื่องจากการเผาพลอยแบบนี้เป็นการเผาแบบใช้สารเคมีเป็นครั้งแรกสุด และยังได้ใช้ต่อเนื่องกันมาช้านานจนกระทั่งปัจจุบัน เลยมีชื่อเรียกกันเฉพาะว่า “สูตรเผาเก่า”
พลอยที่ปรับปรุงด้วยการเผาอ็อกซ์ มีสีพลอยสวยงามอย่างพลอยธรรมชาติทุกประการ สามารถนำไปทำเครื่องประดับทั่วไปที่ใช้งานได้ดีอย่างพลอยธรรมชาติทุกประการ (เพราะว่ารอยร้าวถูกเชื่อมผสานไปเรียบร้อยแล้ว) จึงได้การยอมรับจากวงการค้าอัญมณีทั่วโลก
อนึ่งคำ “เผาเก่า” เป็นคำศัพท์ภาษาท้องถิ่นไม่ใช่ศัพท์มาตรฐานทางวิชาการแต่อย่างใด จึงไม่แปลกที่คนในวงการค้าใช้อย่างค่อนข้างสับสน ปนเป อาจหมายถึงเทคนิคการเผาพลอยแบบเผาอ๊อกซ์เพียงอย่างเดียว หรือหมายถึงการเผาแบบดั้งเดิมทั้งหมด ที่รวมคลุมเอาทั้งการเผาแบบธรรมดาสามัญและการเผาเผาอ๊อกซ์ เข้าด้วยกัน “เผาเก่า” จึงเป็นคำศัพท์ที่ไม่ กระจ่าง ไม่ชัดเจน คลุมเครือ หรืออาจกล่าวได้ว่ามันเป็น”คำศัพท์เจ้าปัญหา”ก็คงไม่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตำแหน่งการขายปลีก ซึ่งเปรียบเสมือนกับ”ปลายน้ำ” ที่สินค้าถูกส่งผ่านมือมาหลายช่วง ก็ยิ่งมีความคลุมเครือค่อนข้างมาก ดังนั้นผู้บริโภคต้องซักถามเพื่อความกระจ่าง หากเป็นพลอยมีมูลค่าสูงก็ควรมีใบรับรองผลตรวจ (Gem Testing Certificate) จากสถาบันมาตรฐานที่น่าเชื่อถือเท่านั้น
3.พลอยซ่านสี/พลอยดิฟฟิว: “Diffuse” แปลว่าแพร่ ซ่าน กระจาย ดังนั้นคำ “Diffusion” มีนิยามว่า เอาสีจากแหล่งภายนอกมาทำให้มันแพร่หรือกระจายเข้าสู่ตัวพลอยโดยการใช้ความร้อนเป็นตัวช่วย การแทรกตัวของสีเข้าไปในตัวพลอยทำได้เพียงระดับตื้นๆหรือบางๆ เพียงเศษเสี้ยวของมิลลิเมตรเท่านั้น หากเราจะเปรียบว่าเป็นการเคลือบสีที่ผิวพลอยก็คงไม่ผิด ซึ่งตัวนั้นพลอยอาจเป็นพลอยสีอ่อนหรือพลอยที่ไม่มีสีเพื่อให้เกิดสีที่สวยงาม ตัวพลอยที่นำมาซ่านสีนั้นอาจเป็นพลอยไร้สีที่มาจากธรรมชาติหรือว่าพลอยสังเคราะห์ก็ได้ ในเมื่อสีจำกัดอยู่แค่พื้นผิวแล้ว หากเรานำพลอยนั้นไปขัดแต่งใหม่ สีพลอยจะหลุดออกไป หรือใช้งานไปนานๆสีจะจางหายไปได้
วิธีการทำดิฟฟิวชั่น ก็คือการนำพลอยที่ผ่านการเจียรนัยแล้วมาเคลือบด้วยอลูมิเนี่ยมออกไซด์ผสมกับสารที่ให้สี (อลูมิเนียมออกไซด์นั้นคือแร่คอรันดัม) อย่างเช่นต้องการสีน้ำเงินของก็ผสมผงอลูมิเนี่ยมออกไซด์กับสารธาตุไททาเนี่ยมและธาตุเหล็ก ถ้าต้องการสีแดงของทับทิมก็ผสมธาตุ โครเมี่ยมลงไปในผงอลูมิเนียมออกไซด์เป็นต้น นอกจากนี้เรายังสามารถทำให้เกิดสตาร์บนผิวพลอยด้วยการผสมผงไททาเนี่ยม(แร่รูไทล์)ลงไปในปริมาณมากๆ หลังจากที่เคลือบพลอยด้วยส่วนผสมตามสูตรแล้ว ก็นำไปเผาในอุณหภูมิสูงเพื่อให้สารเคลือบนั้นติดอยู่อย่างถาวรบนผิวพลอย อย่างไรก็ตามการแพร่ของสีหรือว่าสตาร์เข้าไปสู่ตัวพลอยนั้น มันจำกัดอยู่แค่ชั้นตื้นๆบนพื้นผิวเท่านั้น การใช้งานไปนานๆอาจทำให้สีและสตาร์นั้นสึกกร่อนหลุดหายไป
การตรวจเช็คพลอยซ่านสีนั้นทำได้ไม่ยาก เราสามารถตรวจดูได้ง่ายๆด้วยตัวเอง เราเพียงจุ่มพลอยลงในน้ำธรรมดา หรือ น้ำมันเบบี้ออยล์ก็ได้ เราสังเกตเห็นชั้นสีบางๆ เกาะตัวอยู่เฉพาะด้านนอกของตัวพลอย ส่วนด้านในพลอยจะไม่เห็นสีใดๆปรากฏเลย (ในห้องปฏิบัติการใช้การจุ่มพลอยลงใน Methylene Iodide RI 1.74 หรือว่าส่องพลอยผ่าน Diffusion Plateก็ได้)
4.เผาใหม่: เผาใหม่/เผาแก้วตะกั่ว/เผา Ph (Fracture filling with lead glass) คือกรรมวิธีปรับปรุงพลอยที่มีรอยแตกร้าวเป็นร่องลึกเข้าไปถึงเนื้อในของพลอย หรือว่าพลอยนั้นมีรูพรุนอยู่มากมาย ยากเกินกว่าจะแก้ไขด้วยกรรมวิธีอื่น ก็จะใช้วิธีการเผาใหม่ วิธีการเผาใหม่นั้นมีอยู่สองขั้นตอนคือ เริ่มจากการทำความสะอาดพลอยด้วยการแช่พลอยนั้นในน้ำกรดเพื่อกำจัดเศษที่สิ่งสกปรกตกค้างหรืออุดอยู่ในรอยแตก ประเภทเศษดิน คราบสีสนิมให้หลุดออกไป หลังจากนั้นก็ทำพลอยดูใสขึ้นด้วยการนำไปชุบเคลือบด้วยแก้วตะกั่ว เพื่อให้แก้วไปอุดร่องแตกรูพรุนในพลอย ในขั้นตอนนี้อาจเติมสีลงในเนื้อแก้วด้วยก็ได้เพื่อช่วยให้สีดูดีขึ้น การเผาเคลือบแก้วใช้เวลาสั้นๆเพียง 2-3 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิเพียง 800 องศาเซลเซียส ซึ่งเพียงพอให้แก้วตะกั่วหลอมละลายและแทรกเข้าไปอยู่ในเนื้อพลอยนั่นเอง
การเผาแบบใช้แก้วตะกั่วปิดรอยแตกนี้เป็นการเผาใช้เวลาสั้นๆด้วยอุณหภูมิไม่สูงนัก เทคนิคนี้จึงสามารถนำมาใช้เคลือบรอยแตกในพลอยสตาร์ได้ด้วย (ความร้อนที่ต่ำไม่สามารถทำให้สตาร์สลายไป)
กรรมวิธีเผาใหม่นั้นมีการนำวัตถุแปลกปลอมใส่เข้าสู่ตัวพลอยในปริมาณสูง ห้องปฏิบัติการตรวจอัญมณีที่ได้มาตรฐานจะไม่ยินยอมออกใบรับรองความเป็นพลอยธรรมชาติให้กับพลอยที่ผ่านกรรมวิธีนี้
พลอยเผาใหม่นั้นเทคนิคเป็นให้ผลลัพธ์พลอยที่ไม่เป็นธรรมชาติ จึงแทบไม่มีคุณสมบัติความคงทนของพลอยธรรมชาติ ไม่ทนต่อการขูดขีด ไม่มีความบึกบึนต่อการใช้งาน ไม่สามารถรับแรงกระแทกใดๆ ยิ่งกว่านั้นยังไม่ทนทานต่อความร้อน และไม่ทนต่อสารละลายกรด-เบส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดกัดแก้ว การขึ้นตัวเรือนและการใช้งานจึงต้องมีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษไม่ให้เสียหาย ข้อดีก็คือเราได้อัญมณีสวยงามในราคาที่จับต้องได้
5.พลอยเผาBe: คือนวัตกรรมในการปรับปรุงคุณภาพสีและความใสสะอาดของพลอยเนื้อแข็งด้วยความร้อนโดยการใช้ ธาตุ Be เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (Cathalyst) ช่วยให้พัฒนาการของสีสมบูรณ์รวดเร็วขึ้น กรรมวิธีการนี้สามารถปรับปรุงความใสในพลอยพร้อมกับปรับสีพลอยได้ ยิ่งกว่านั้นยังสามารถเปลี่ยนตำแหน่งสีพลอยที่เทคนิคการเผาแบบเดิมๆไม่สามารถทำได้ การเผาแบบBe มีหลักการสำคัญแนวคิดเหมือนกับการเผาแบบปรกติสามัญทั่วไป นั่นก็คือพลอยที่นำมาเผาได้นั้นจะต้องมีเชื้อสีตามธรรมชาติอยู่แล้ว เราจึงจะสามารถเร่งพัฒนาการสีพลอยได้ การเผาแบบ Be ให้ผลลัพธ์ได้ดีมากในกลุ่มพลอยเนื้อแข็งที่กำเนิดจากหินภูเขาไฟ ซึ่งอุดมไปด้วยธาตุ Fe (เหล็ก) อันเป็นธาตุผ่านเจือปนอยู่ ดังนั้นจึงใช้ได้ผลดีมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพลอยเขียวส่อง พลอยบุษราคัมของไทย พลอยสีชมพูอมม่วงและพลอยเนื้อแข็งหลากสีอื่นๆจากแอฟริกาเป็นต้น
Be นั้นเราได้มาจากพลอย “Chrysoberyl” (พลอยไพทูรย์) อันเป็นแร่รัตนชาติประเภทหนึ่ง บดเป็นผงละเอียดใส่ลงในเบ้าเผาพลอย ช่างทำพลอยเรียกมันว่าพลอยเนื้ออ่อน ในธรรมชาติมักถูกพบปะปนกับอยู่กับพลอยเนื้อแข็งตามเหมืองพลอยต่างๆ “การเผาพลอย Be” นี้ถ้าเราพูดตามภาษาชาวบ้านให้เข้าใจอย่างง่ายๆ มันก็คือ “การเติมพลอยเนื้ออ่อนลงไปในเบ้าพลอยเนื้อแข็งก่อนนำไปเผาเพื่อเร่งสีพลอย หรือจะกล่าวว่า “การใช้พลอยไปช่วยเผาพลอย” นั่นเอง มันมาจากธรรมชาติล้วนๆ
กล่าวโดยสรูปคือการปรับปรุงพลอยด้วยการใช้ Be เป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยา นั้นสามารถตอบโจทย์แก้ไขปัญหาที่การเผาแบบสามัญไม่สามารถทำได้ ถือว่าเป็นนวัตกรรมแห่งการปรับปรุงคุณภาพอัญมณีที่เกิดจากภูมิปัญญาไทย ที่แม้แต่พวกฝรั่งจ้าวแห่งเทคโนโลยี่ยังต้องทึ่งในภูมิปัญญาท้องถิ่น
พลอยที่ปรับปรุงด้วยการเผาแบบ Be ให้สีพลอยที่มีความสวยงามและความเสถียรอย่างพลอยธรรมชาติ และพลอยมีคุณสมบัติความแข็ง ความคงทนแบบพลอยธรรมชาติทุกประการ ดังนั้นการใช้งานและดูแลถนอมรักษาจึงให้ปฏิบัติเหมือนพลอยเนื้อแข็งธรรมชาติทั่วไป
การปรับคุณภาพมีผลต่อราคา
เนื่องจากพลอยที่ขุดได้จากเหมืองมีหลายเกรด แต่ละเกรดนั้นนั้นก็มีความเหมาะสมกับเทคนิคปรับคุณภาพที่แตกต่างกันไป และหรือใช้กรรมวิธีแบบผสมผสานก็ได้ นั่นเป็นสาเหตุให้พลอยถูกจัดระดับราคาที่แตกต่างลดหลั่นกันไป ผมขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบที่แสดงให้เราเห็นภาพในลักษณะแบบสุดขั้วหนึ่งตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ ผมใช้พลอยจากแหล่งเดียวกัน ระดับสีเดียวกัน ในขนาดน้ำหนักที่เท่าๆกันมามาเป็นตัวเปรียบเทียบครับ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเทคนิคที่ต่างกันอย่างสุดขั้วมันมีผลอย่างไร
ผมขอเลือกพลอยทับทิมจากประเทศโมซัมบิก ทวีปแอฟริกา ซึ่งปัจจุบันผลิตทับทิมสีสวยออกสู่ตลาดโลกมากที่สุด และพลอยจากโมซัมบิกได้มีการยอมรับว่าสวยไม่แพ้ทับทิมจากประเทศพม่า โดยขออ้างอิงราคาขายปลีกทับทิมเกรดดีที่สุด (Premium Grade) จากบูทหนึ่งที่มีชื่อเสียงภายในงาน Bangkok Gem Trade Fair. มาเป็นตัวเปรียบเทียบ
พลอยทั้งสองเม็ดคือสีแดงสด โทนสีสว่าง ซึ่งถือกันว่าเป็นสีที่สวยมากสำหรับพลอยทับทิม แต่ผลลัพธ์เมื่อเราคำนวณราคาจะเห็นว่า ทับทิมที่เป็นพลอยดิบคือ 525,000 บาท แต่พลอยทับทิมเผาใหม่คือ 2,800 บาท เห็นความต่างอย่างสุดขั้วไหมครับ พลอยสีเดียวกันรูปร่างเดียวกัน ขนาดน้ำหนักที่เท่ากัน และยังมาจากประเทศเดียวกัน อีกด้วย แต่ราคาไปคนละทิศละทางเลยครับ
สำหรับครั้งนี้ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน เอาไว้ต่อคราวหน้า แล้วพบกันอีกครับ
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์ (FGA)
29 กรกฎาคม 2561
คลีนิกอัญมณี
"คลีนิกอัญมณี" เป็นคอลั่มน์รวมบทความต่างๆทางอัญมณีศาตร์ ทั้งที่เกี่ยวกับแวดวงการค้าอัญมณี และในเชิงวิชาการของการตรวจวิเคราะห์พลอยประเภทต่างๆในห้องแลบ ยังรวมไปถึงเรื่องราวอัญมณีที่อยู่ในกระแสความสนใจซึ่งอาจมาจากคำถามที่พบบ่อยเป็นต้น บทความที่ผมเขียนขึ้นจะถูกรวบรวมไว้ในที่นี้ ท่านสามารถติดตามบทความใหม่ของเราที่จะนำเสนอเป็นระยะๆ รวมถึ่งการอ่านเรื่องย้อนหลังได่อีกด้วย
วัฒน์
(หมอพลอย)
หน้าที่เข้าชม | 368,250 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 271,001 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ก.พ. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 20 ส.ค. 2568 |
ติดต่อสอบถาม
โทรศัพท์: 081-8102763
LINE ID: siriwat28
siriwat.jiamanusorn@gmail
Fanpage: @jwlab.gem