ทับทิมและสปีเนล "ความเหมือนที่แตกต่าง"
หัวข้อบทความครั้งนี้มีนัยเป็น Paradox ชวนให้สงสัย ประเด็นมาจากการพูดคุยกับเพื่อนท่านหนึ่ง เพื่อนที่ได้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเวลาเรามองอัญมณีสองชนิด (ต่างตระกูล) ที่ละม้ายคล้ายคลึงกันทั้งรูปร่างและสีสัน แต่ทำไมความรู้สึกเราจึงโน้มเอียง (Bias) เรามีความรู้สึกตอบสนองไม่เท่ากัน พูดไปอีกอย่างก็คือว่าเรามีความรู้สึกอันหนึ่งมีเสน่ย์มากกว่าอีกอันหนึ่ง ขณะที่คุยกันนั้นเราได้พูดถึงพลอย"ทับทิม" กับพลอยสีแดงคู่แฝดก็คือ "สปีเนล" ทั้งสองมีองค์ประกอบเคมีเกือบคล้ายๆกัน
(Al203 กับ Mg0.Al203) แถมธาตุที่ทำให้เกิดสีแดงยังพ้องกันอีก (Cr) เพื่อนบอกว่าชอบทับทิมมากกว่าและรู้สึกว่ามันมีเสน่ย์ลึกซึ้งกว่า ความรู้สึกมันบอกเช่นนั้น เขาถามผมว่าผมมีความเห็นหรือคำอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆหรือไม่ ตัวผมเองก็คงคล้ายอีกหลายๆคนที่รู้สึกเพียงชอบกับไม่ชอบหรือว่าเฉยๆ โดยที่ไม่ตั้งคำถามใดเลยก็ได้ แต่การสนทนาทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังในสิ่งที่เราเห็น เพื่อตอบคำถามเพื่อนท่านนั้นผมไม่ตอบโดยตรงว่าเขาชอบเพราะอะไร แต่ผมจะเบี่ยงไปพูดว่าอัญมณีสองชนิดต่างกันอย่างไรในเรื่องของแสงและสี แล้วผมจะมองเข้าไปที่ความแตกต่างนั้นว่ามีประเด็นอะไรบ้าง (ที่พอเป็นไปได้) มาสนับสนุนความชอบตรงนั้นได้ครับ ดังนันเราจะไปทำความเข้าใจในเรื่องแสงและสีของพลอยสองชนิดที่กล่าวถึง ตามผมมาเลยครับ แล้วค่อยๆทำความเข้าใจไปด้วยกัน


"สี"ในอัญมณีเกิดจาก"แสง" (คลื่นแม่เหล็กไฟ้ฟ้าที่อยู่ในแถบ Visible Light) ทำปฏิกริยากับอะตอมในอัญมณี แล้วสะท้อนมาสู่จอประสาทตาของเรา เกิดเป็นความรับรู้ (Visual Perception) ความรับของเราจะประเมินแสงและสีที่มากระทบครับ ระบบประสาทตาสามารถรับรู้แม้ความละเอียดปลีกย่อยทีสุดในแสงนั้นๆ แต่การอธิบายสิ่งรับรู้ออกมาเป็นคำพูดอาจไม่ง่ายนัก เอาเป็นว่าลักษณะความแตกต่างของแสงและสีพลอยทั้งสองชนิดมันอยู่ตรงไหนกัน เรามาพิจารณาแต่ละข้อตามลำดับดังต่อไปนี้กันครับ
1.
ความหนาแน่นทางแสง (Refractive Index) ทับทิมมีค่าความหนาแน่นทางแสงสูงกว่าสปีเนล ความหนาแน่นทางแสงคือคุณภาพทางแสงที่สะท้อนมาที่ตาของเรา
1.1 ทับทิมมีค่าความหนาแน่นทางแสงถึงสองค่า ที่เกิดมาจากโครงสร้างผลึกธรรมชาติแบบ Anisotropic คือค่า 1.762 กับ 1.770 และมีค่าความต่างศักย์เท่ากับ 0.008 (Birefringence) สายตาคนเรารับรู้แสงเชิงซ้อน (แบบ Complex) ตรงนี้ได้ครับ (ลำแสง O-ray กับ E-ray) และแสงเชิงซ้อนนี้ยังเป็นปัจจัยทำให้เราเห็นสีแตกต่างกันในทิศทางตามลำแสงทั้งสอง
2.2 สปีเนลมีค่าทางแสงเพียงค่าเดียว หรือค่าแสงเชิงเดี่ยว ซึ่งได้จากโครงสร้างผลึกธรรมชาติแบบ Isotropic คือค่า 1.718 เพียงค่าเดียว (และต่ำกว่าทับทิมถึง 0.052) เราจึงเห็นลำแสงเดียวในทุกทิศทาง (Single Refractive) และนั่นทำให้เราเห็นสีเพียงสีเดียวในทุกทิศทาง ลักษณะแสดงสีแบบ Monotone ครับ (หรือ Monochroic)
2.
สีพลอย (Colour)
2.1 คุณภาพสี (Colour Quality) วัดจากความสดของสี หรือว่า "ความอิ่มตัวของเนื้อสี" (Colour Saturation) ทับทิมซึ่งเป็นแร่คอรันดัมสามารถให้ความอิ่มตัวในระดับสูงสุดของสีแดง เช่นสีแดงที่เรียกกันว่าสีเลือดนก (Crimson/Scarlet) เป็นต้น (และสีน้ำเงินของแซฟไฟร์สามารถขึ้นไปถึงระดับ Cobalt Blue และ Royal Blue) เมื่อเปรียบเทียบกับสปีเนลสีแดง สปีเนลมีเนื้อสีที่อ่อนบางกว่าทับทิม (สปีเนลสีน้ำเงินก็ไม่สามารถไปถึงระดับสีเท่าแซฟไฟร์)
2.2 สีเชิงซ้อน (Complex of Colour) ทับทิมซึ่งมีโครงสร้างผลึกแบบ Anisotropic และยังมีคุณสมบัติ Dichroism แสดงสีคู่ในต่างทิศทาง กล่าวคือในทิศทางหนึ่งเราเห็นสีแดงม่วง แต่ในอีกทิศทางหนึ่งเราเห็นสีแดงส้ม ในเวลาที่เราขยับหรือหมุนพลอยไปมาเราจะเห็นสีที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่ มันคือ Complex of Colour ที่มีสีแฝดสลับกันไปมา เป็น Variation อยู่ภายในตัว Texture ของสีเอง เมื่อเราเห็นสีหนึ่งเราก็จะเห็นเงาของอีกสีหนึ่งแฝงสลับอยู่ในนั้น การเปลี่ยนแปลงของสีในลักษณะ Dynamic เช่นนี้สายตาเราสามารถตรวจและรับรู้ได้ ซึ่งผมคิดว่าตรงนี้เป็นมนต์เสน่ย์อย่างหนึ่งของทับทิมที่คนส่วนใหญ่น่าจะชื่นชอบครับ และอาจจะชอบมากกว่าการแสดงสีแบบเชิงเดี่ยว (Monochroic) ของสปีเนลที่ดูเหมือนไม่ค่อยมีมิติ ยิ่งไปกว่านั้นแสงธรรมชาติในแต่ละเวลาก็มีอิทธิพลต่อการเห็นสีในทับทิมให้แตกต่างกันไป (ตามปริมาณรังสีในคลื่นแม่เหล็ก-เช้า-กลางวัน-เย็น) ตรงนี้เราอาจนึกเปรียบเทียบไปกับกลิ่นน้ำหอม กลิ่นไวน์ที่มีความซับซ้อนของกลิ่นและรสที่ผันแปรไปตามลำดับเวลา ดังเช่นการปรากฎกลิ่นเบื้องต้น กลิ่นหลัก จนกระทั่งกลิ่นปลายที่ให้ความประทับใจแตกต่างกันไป โดยธรรมชาติมนุษย์ชอบสิ่งที่มี Variation หรือความเคลื่อนไหวมากกว่าสิ่งที่ดูเฉื่อยเนือย เมื่อเรามองสีของสปีเนลแดง หรือแม้แต่การ์เน็ตสีแดง (Pyrope) ที่ทั้งสองต่างก็เป็นวัตถุ Isotropic เรารู้สึกว่าสีมันคงที่ สีมันนิ่ง ปราศจากการเคลื่อน (Motion) และการเปลี่ยนแปลง มันจึงมีมิติน้อยกว่าพลอยทับทิม ประสาทรับรู้มนุษย์เราชอบจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มีความเคลื่อนไหว (Dynamic) เพราะมันกระตุ้นให้มีชีวิตชีวาได้มากกว่า (Lively)
โกเมน
(โกเมนเป็นวัตถุ Isotropic เช่นเดียวกับสปีเนล แสงสะท้อนมีเพียงลำแสงเดียวและแสดงสีเชิงเดี่ยว)
3.
ความวาวพื้นผิว (Luster) ก็เป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่ง ที่เข้ามาเติมความสามารถในการสะท้อนแสงออกจากให้สูงขึ้นไปอีก แถมความวาวยังเป็นปฎิภาคกับดัชนีหักเหแสง (Refractive Index เรียกย่อว่า RI) ค่า RI ยิ่งสูงความวาวก็สูงตามกันไป ทับทิมซึ่งเป็นพลอยตระกูลคอรันดัมมีความวาวแบบพลอยเนื้อแข็ง (Bright Vitreous/ Sub-Adamantine) ซึ่งความวาวสูงกว่าพลอยอีกสองชนิดที่เนื้อวาวแบบแก้ว (Vitreous) และมีเนื้อที่อ่อนกว่า
ความหนาแน่นท่างแสงที่สูง การสะท้อนลำแสงคู่ ความอิ่มตัวของสี การแสดงสีแบบเชิงซ้อน หรือว่าปรากฏการณืสีแฝด รวมไปถึงความวาวพื้นผิวที่สูง ปัจจัยทั้งหมดนี้ได้หลอมผสานกันเป็นความซับซ้อนทางแสงและสีให้แก่ทับทิม (และรวมถึงแซฟไฟร์ด้วย) ทำให้ทับทิมแตกต่างจากสปีเนลและพลอยประเภทอื่นๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไมทับทิมและแซฟไฟร์จึงได้รับความนิยมจากผู้คนมาช้านานผ่านกาลเวลา...ดังมนต์เสน่ย์ที่ไม่เสื่อมคลาย
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์ (FGA)
24 มกราคม 2564
บรรณานุกรม : -Spinel Compound: Structure and Property relations; Sickafus,K.E. and Hughes, R.
- วิเคราะห์อัญมณี , Sumalee Thepsophan, SGS
-Practical Gem Handbook / Gem-A