
"Cleavage" คือทิศทางในโครงสร้างผลึกแร่ที่อะตอมเรียงตัวไม่แข็งแกร่ง เนื้อผลึกพร้อมที่จะกระเทาะหรือลอกหลุดออกไปโดยทิ้งพื้นผิวที่ราบเรียบเอาไว้ ซึ่งเราเรียกว่า "รอยแยกแนวเรียบ"หรือ "รอยแยกขั้นบันได" เนื้อผลึกสามารถลอกออกไปเป็นชั้นๆเรียงตามกันขนานไปกับหน้าผลึก ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างง่ายๆ ให้เราลองนึกถึงหัวหอมที่เราสามารถแยกกลีบออกไปเป็นชั้นๆ Cleavage มีสองลักษณะคือ Perfect/Good Cleavage : แบบทิ้งรอยแยกที่ราบเรียบสมบูรณ์เหมือนกับถูกขัดเงา กับ Poor Cleavage : ผิวรอยแยกไม่ค่อยเรียบ ขรุขระ

"Cleavage" เป็นลักษณะธรรมชาติที่มีเฉพาะในผลึกแร่บางชนิดเท่านั้น เช่น แร่ยิปซั่ม คาลไซท์ ฟลูออไรท์ โทแพส เพชร ทัวร์มาลีน เป็นต้น การรู้จักลักษณะ Cleavage ช่วยให้เราสามารถถนอมรักษาอัญมณีที่มีรอยแยกตามธรรมชาติให้อยู่กับเรานานๆไม่เกิดการชำรุดจาการใช้สอย
การหลุดของเนื้อผลึกจะเกิดได้ต่อเมื่อได้รับแรงกระแทกที่ตำแหน่งของรอยเลื่อนหรือรอยแยกธรรมชาติเหล่านี้ การรู้จักคุณสมบัติของรอยแยกอาจช่วยในการเจียรนัยอัญมณีบางชนิด เช่นการผ่าเพชรโดยไม่ต้องใช้ใบเลือยตัด เราเรียกว่า "Diamond Cleaving" โดยการวางใบมีดให้ตรงตำแหน่งของ Cleavage แล้วกระแทก เพชรก็ถูกผ่าแยกออกจากกัน ในสมัยโบราณที่ไม่มีเครื่องจักรกล ใบเลื่อยตัดเพชร หรือเครื่องมือไฮเทคเช่นเครื่องตัดเลเซอร์ในสมัยปัจจุบัน เขาก็ต้องใช้กรรมวิธีทำ Cleaving กันครับ เพชรมี Cleavage ระดับ Perfect ผิวที่แยกออกจากกันจึงราบเรียบสมบูรณ์เป็นมันวาวคล้ายถูกขัดแต่ง

อีกตัวอย่างได้แก่แร่โทแพส แร่ชนิดนี้มีรอยแยกธรรมชาติอยู่หนึ่งทิศทางเรียงตามแกนผลึก การเจียรนัยพลอยต้องตั้งมุมองศาให้หน้าพลอยเอียงไปจากแกนผลึก พลอยจึงจะมีความคงทนต่อการใช้งาน ผมมีประสบการณ์ทำพลอยโทแพสหลุดมือตกกระแทกพื้น ผิวพลอยหลุดออกเป็นชั้นๆคล้ายขั้นบันได หรือเปลือกขนมฟัฟที่เป็นชั้นๆ
ทิศทางของ Cleavage มีได้ตั้งแต่ 1-4 ทิศทาง(ระนาบ) ถ้ามีทิศทางเดียวการหลุดของเนื้อผลึกจะเป็นแผ่นบาง ถ้ามีหลายทิศทางเนื้อผลึกสามารถแตกออกเป็นก้อนใหญ่ (สามมิติ)

"Cleavage" เป็นคำนิยามที่เราไม่ค่อยกล่าวถึงสักเท่าไรในทางการค้า หรืออาจไม่พูดถึงเลย เพราะว่ามันค่อนข้างยากจะเข้าใจ คงมีแต่นักธรณีวิทยาและนักอัญมณีศาสตาร์ที่นำไปใช้ประโยชน์ ส่วนตัวผมเองกลับเห็นว่านักสะสมอัญมณีควรทราบถึงคุณสมบัติธรรมชาติตรงนี้ มันจะช่วยให้เราระมัดระวังจัดเก็บให้อัญมณีไม่ชำรุดเสียหาย "ความแข็ง" (Hardness) คือความคงทนต่อการขูดขีด หรือการสึกหรอจากการขัดสี กับ "ความบึกบึน" (Toughness) ทนต่อแรงกระแทก มันคนละเรื่องกันนะครับ อันหนึ่งความแข็งแกร่งที่ผิว ส่วนอีกอันหนึ่งความแกร่งของโครงสร้าง เราอย่าไปปนกัน เพชรแข็งที่สุดต่อการขูดขีดสึกกร่อน แต่ไม่ทนรับแรงกระแทกถึง 4 ทิศทาง (4-Direction Cleavage) การกระแทกถ้าไม่ตรงกับทิศทางของ Cleavage ก็ไม่มีผลต่อการชำรุด แต่เพื่อความไม่ประมาทก็ควรหลีกเลี่ยงแรงกระแทกจะดีกว่า แรฟลูออไรท์มีสัณฐานผลึกเหมือนผลึกเพชรพร้อมกับมีรอยแยกถึงสีทิศทางด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าฟลูออไรท์นั้นคงไม่เหมาะที่จะนำมาสวมใส เพราะทั้งความแข็งและความบึกบึนอยู่ในระดับต่ำมาก แร่สปีเนลมีสัณฐานผลึกทรง Octahedron เหมือนพลอยทั้งสองชนิดที่เรากล่าวถึง แต่ทว่าในสปีเนลนั้นเรากลับไม่พบ Cleavage อยู่เลย และยังมีความแข็งอยู่ในระดับที่ดีมากด้วย (8 Mohs Scale) ถ้าเรานำสปีเนลไปเปรียบเทียบกับโทแพสที่มีความแข็งเท่ากัน สปีเนลกลับมีความคงทนมากกว่า นั่นก็เพราะว่าโทแพสนั้นมี Cleavage แบบสมบูรณ์อยู่หนึ่งทิศทาง (Perfect Cleavage in 1 Direction)

"Cleavage Direction" นั้นเรามองไม่เห็นด้วยตา ระนาบของมันซ่่อนอยู่ในโครงสร้างผลึก เราจะสังเกตุเห็นได้ต่อเมื่อมันขยายตัวเกิดเป็นรอยแยกจากแรงกระแทกแล้ว ดังนั้นการทราบถึงการมีอยู่ของมันช่วยให้เราระมัดระวังและจัดการกับมันได้อย่างถูกต้อง
8 มิถุนายน 2562
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์ (FGA)