(ข)เผาธรรมดา/แบบสามัญ(Common Heat Treatment)
พลอยเผาธรรมดาใช้สำหรับพลอยทั่วไปเพื่อปรับตำแหน่งของสี เร่งพัฒนาการของสี และปรับพลอยให้ใสสะอาดด้วยหลักการใช้ความร้อนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพียงแต่ต่างกันตรงอุณหภูมิที่เลือกใช้ ในภาวะมีออกซิเจนหรือปลอดออกซิเจน กรรมวิธีเพิ่มลดอุณหภูมิ รวมถึงระยะเวลาสิ่งเหล่านี้ล้วนกำหนดให้ได้ผลแตกต่างกันไป
1.การเผาปรับตำแหน่งสี: เผาเพื่อปรับตำแหน่งสี (ช่างทำพลอยเรียกว่าการ”อบพลอย”) ด้วยอุณหภูมิต่ำ(Low Temperature Heating ) ให้ได้ตามต้องการดังต่อไปนี้
1.1 ลดสีน้ำเงิน: ใช้สำหรับปรับลดหรือกำจัดสีน้ำเงินในแซฟไฟร์ที่มีสีน้ำเงินเข้มให้สีอ่อนลง ลดทอนสีน้ำเงินในทับทิมสีอมม่วง ลดทอนสีน้ำเงินในบุษราคัมสีเหลืองอมเขียว ทำให้พลอยนั้นๆได้ตำแหน่งสีตรงตามต้องการ
หลักการ: เผาพลอยที่อุณหภูมิ 800o-1200oc ในภาวะมีออกซิเจน
1.2ลดสีน้ำตาล:ใช้สำหรับกำจัดสีน้ำตาลในทับทิมไทย เพื่อให้พลอยมีสีแดงสด
หลักการ: เผาพลอยที่อุณหภูมิ 800o-1900ocในภาวะมีออกซิเจน
2.การเผาเร่งพัฒนาการของสี:ใช้สำหรับทำให้พลอยไร้สีหรือพลอยสีอ่อนที่มีเชื้อสีอยู่แล้วตามธรรมชาติให้สามารถแสดงสีออกมาอย่างเต็มที่ด้วยอุณหภูมิสูง
2.1 การเผาพลอยกิวดา(คอรันดัมที่ไม่มีสี)จากศรีลังกา จากพลอยที่ไร้สีหรือมีสีอ่อนให้แสดงสีน้ำเงินออกมาอย่างชัดเจน และเผาพลอยบุษราคัมสีเหลืองอ่อนจากศรีลังกาให้มีสีเหลืองเข้ม
หลักการ: เผาพลอยที่อุณหภูมิ1600o-1900o,cในภาวะไร้ออกซิเจน
2.2เผาพลอยขาวไร้สี บุษราคัมสีเหลืองจางจากประเทศศรีลังกาให้มีสีเหลืองและเหลืองเข้ม และจากพลอยสีชมพูให้ได้สีส้ม
หลักการ:เผาพลอยที่ 1600o-1900oc ในภาวะมีออกซิเจน
3.การเผาปรับความใส:สำหรับพลอยเนื้อขุ่นที่มีสาเหตุจากการปรากฏของเส้นใยแร่รูไทล์ (เส้นไหม เส้นเข็ม) จำนวนมากในเนื้อพลอย เราสามารถทำเส้นใยแร่รูไทล์สลายไปด้วยความร้อนอุณหภูมิสูง
หลักการ:เผาพลอยที่อุณหภูมิสูง 1000-1900oc แล้วทำให้เย็นลงตัวอย่างรวดเร็วเพื่อยับยั้งมิให้เส้นใยแร่รูไทล์ก่อตัวขึ้นมาใหม่ พลอยจะใสขึ้น กรรมวิธีนี้มักใช้กับพลอยจากศรีลังกาหรือพม่า
(ค)เผาอ๊อกซ์/เผาเก่า(Oxy Heating/Welded Heating)
คือการเผาพลอยคอรันดัมที่มีรอยร้าวตื้นๆที่บริเวณผิว เพื่อควบคุมมิให้รอยร้าวขยายตัวเมื่อโดนความร้อน จึงมีการเติมสาร Flux ใส่ในเบ้าพลอย และยังช่วยให้รอยร้าวเหล่านั้นปิดลงถาวรโดยใช้อุณหภูมิ 1200oc
หลักการ: นำพลอยใส่เบ้าแล้วเติมผงฟลักซ์ลงในเบ้า นำไปเผาปรับสีปรับความใสสะอาดตามหลักการเผาพลอยปรกติธรรมดา “ฟลักซ์”หรือที่เรารู้จักในชื่อ “น้ำประสานทอง” เป็นตัวนำความร้อนที่ดีมากช่วยประหยัดเวลาในการเพิ่มอุณหภูมิให้กับตัวเบ้า และเนื่องจากตัวมันเองมีสุดหลอมเหลวที่ต่ำเมื่อมันแทรกเข้าในรอยร้าวจะทำให้เนื้อพลอยที่มันสัมผัสหลอมประสานตัวกัน สารนี้ถ้าไม่ตกค้างเราจะไม่เห็นร่องรอยอะไรเลย แต่ถ้าทำอย่างไม่ประณีตจะเห็นคราบฟลักซ์ขังอยู่ในเนื้อพลอยตัดกับสีพื้นหลังคราบในลักษณะนี้เราเรียก “ลายไทย” พลอยที่ประสานรอยร้าวมีความทนทานดีและเป็นที่ยอมรับมาอย่างช้านานจากนาๆประเทศ
เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการใช้สารเคมี(ช่างทำพลอยเรียกว่าน้ำยา) เข้ามาช่วยในขบวนการเผาพลอย เลยเรียกว่าสูตรแรกหรือสูตรเก่า อันเป็นที่มาของคำ “เผาเก่า” เพื่อให้แตกต่างไปจากเทคนิคใหม่ล่าสุดที่มีการใช้วัสดุประเภทแก้วผสมตะกั่วและอาจผสมสีเข้าในการอุดรอยแตก ร่องลึก เพื่อเคลือบพลอยเนื้อพรุนให้ดูใส เป็นเทคนิคที่ใช้เฉพาะกับพลอยคุณภาพต่ำจากแอฟริกา ซึ่งเทคนิคที่ใช้แก้วเคลือบพลอยคุณภาพต่ำนี้เราเรียกกันว่า “เผาใหม่”
“เผาเก่า” และ”เผาใหม่” ศัพท์ทั้งสองมีความสำคัญนะครับ ห้ามสับสนปนเปกันเด็ดขาดเพราะแต่ละเทคนิคนั้นแตกต่างกันและมีผลต่อราคาพลอย
(ง)กรรมวิธี”เผาใหม่”/เผาเคลือบแก้วตะกั่ว/เผา Ph
(Fracture filling with lead glass)
เป็นการปรับคุณภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการเผาพลอยแบบปรกติ ให้สังเกตว่าคำศัพท์สากลไม่มีคำว่า “heating “ อยู่เลย เทคนิคนี้แท้จริงแล้วมิใช่การเผาพลอย หากเป็นเพียงวิธีการหลอมแก้วเพื่อให้แทรกเข้าสู่ร่องแตกในพลอยเท่านั้น ความร้อนมิได้มีผลต่อระดับโมเลกุล หรืออะตอมของพลอยที่ก่อให้เกิดพัฒนาการของสีแต่อย่างใด การเปลี่ยนแปลงใดๆไม่เกิดขึ้นกับตัวพลอยเลย สิ่งที่ได้คือปรับปรุงความใสเท่านั้น ความใสนั้นเกิดจากการแทรกตัวของเนื้อแก้วเข้าไปในรอยร้าว ร่องแตกภายในพลอยจึงทำให้ความขุ่นหายไป เนื้อพลอยจึงดูใสชึ้นมา
กรรมวิธีประกอบด้วยสองขั้นตอนดังนี้
การเตรียมพลอย:ทำการล้างพลอย แล้วนำพลอยไปแช่ในน้ำกรด(ซัลฟลูลิกเข้มข้น) เพื่อขจัดเศษดิน คราบสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ตามร่องแตก ให้หลุดออกไป
(ภาพพลอยกัดด้วยกรด)
การเคลือบและอุดด้วยแก้ว:นำพลอยที่กัดด้วยกรดมาแล้วมาใส่เบ้า และเติมแก้วชนิดที่มีดัชนีหักแสงสูง (ผสมสารตะกั่ว) ลงไปในเบ้า นำเข้าเตาผาที่อุณหภูมิ 800Oc เป็นเวลา3 -4 ชั่งโมง แล้วนำพลอยออกจากเตาขณะยังร้อนอยู่มาเทใส่ถาด แล้วรีบเกลื่ยเม็ดพลอยให้กระจายแยกออกจากกันก่อนที่พลอยและวัสดุแก้วนั้นจะเย็นตัวลง เพื่อป้องกันมิให้เม็ดพลอยเกาะติดกันเป็นก้อน หลังจากผึ่งให้พลอยเย็นตัวแล้ว ก็นำไปเจียรนัยได้
การตรวจเช็คอย่างคร่าวๆด้วยตนเอง คือให้เล็งดูที่ผิวพลอยที่สะท้อนกับแสงไฟจะสังเกตเห็นผิวพลอยในบริเวณต่างๆมีความมันวาวไม่เหมือนกัน คือบางส่วนวาวมากแบบพลอยปรกติแต่บางส่วนกลับดูด้านๆ คือมีผิววาวสลับกับด้าน หรือมองโดยรวมๆที่ผิวพลอยมันละม้ายกับมีรอยแปรงทาสี บางที่ดูคล้ายกับเส้นลากไขว้ไปมาแบบตาข่าย นั่นเกิดจากการขัดเงาที่ไม่สมบูรณ์ของวัสดุสองชนิดที่มีความหนาแน่นไม่เท่ากัน เมื่อมองลึกเข้าไปในพลอยเรายังจะเห็นฟองอากาศ (อาจใช้แว่นขยายช่วย) หากไม่แน่ใจก็ให้ส่งไปตรวจที่ห้องแล็บเสียเลยการตรวจในห้องปฏิบัติการอัญมณีเขาใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจ จะเห็นเนื้อแก้วแยกตัวแตกต่างจากเนื้อพลอย และอาจพบเนื้อแก้วในปริมาณที่พอๆกับเนื้อพลอยเลยทีเดียว
พลอยเผาใหม่นั้นมีการนำวัตถุแปลกปลอมใส่ข้าสู่ตัวพลอยในปริมาณสูง ห้องปฏิบัติการตรวจอัญมณีที่ได้มาตรฐานนั้น จะไม่ยินยอมออกใบรับรองความเป็นพลอยธรรมชาติให้กับพลอยที่ผ่านการปรับคุณภาพด้วยกรรมวิธีนี้
พลอยเผาใหม่นั้นให้พลอยที่ไม่เป็นธรรมชาติ จึงไม่แทบมีคุณสมบัติความคงทนของพลอยตามธรรมชาติหลงเหลือ ไม่มีความแข็งแรงบึกบึนต่อการใช้งาน ไม่สามารถรับแรงกระแทกใดๆ และไม่ทนทานต่อความร้อน ไม่ทนต่อสารละลายกรด-เบส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดกัดแก้ว การใช้งานจึงต้องมีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ แต่ข้อดีก็คือเป็นพลอยที่มีความสวยงามในราคาที่จับต้องได้
จ.เผาเคลือบสี (Diffusion Heating)
1.การเคลือบให้เกิดสี ส…………………
2.การเคลือบให้มีสตาร์…………….
คลีนิกอัญมณี
"คลีนิกอัญมณี" เป็นคอลั่มน์รวมบทความต่างๆทางอัญมณีศาตร์ ทั้งที่เกี่ยวกับแวดวงการค้าอัญมณี และในเชิงวิชาการของการตรวจวิเคราะห์พลอยประเภทต่างๆในห้องแลบ ยังรวมไปถึงเรื่องราวอัญมณีที่อยู่ในกระแสความสนใจซึ่งอาจมาจากคำถามที่พบบ่อยเป็นต้น บทความที่ผมเขียนขึ้นจะถูกรวบรวมไว้ในที่นี้ ท่านสามารถติดตามบทความใหม่ของเราที่จะนำเสนอเป็นระยะๆ รวมถึ่งการอ่านเรื่องย้อนหลังได่อีกด้วย
วัฒน์
(หมอพลอย)
หน้าที่เข้าชม | 368,250 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 271,001 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ก.พ. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 20 ส.ค. 2568 |
ติดต่อสอบถาม
โทรศัพท์: 081-8102763
LINE ID: siriwat28
siriwat.jiamanusorn@gmail
Fanpage: @jwlab.gem